วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

แบกเป้เที่ยวศรีลังกา แวะเที่ยวเมืองหลวงโคลอมโบก่อนกลับกรุงเทพฯ (One day trip in Colombo city)

          พักผ่อนจนหายเมื่อยล้าก็ได้เวลาที่ต้องออกกันแต่เช้าเพื่อเดินทางเข้าเมืองหลวงโคลอมโบ (Colombo City) ก่อนที่จะกลับกรุงเทพ แม้วันในการเดินทางแสนสั้นแต่เราก็จะพยายามเก็บสถานที่ท่องเที่ยวให้ได้มากที่สุด  เราจึงต้องตื่นแต่เช้าและเช็คเอ๊าท์ออกจากโรงแรมออกมาหาอะไรกินแต่เช้า เจอร้านขายอาหารด้วย เลยลองสั่ง String Hopper หน้าตาคล้ายขนมจีนเป็นเส้นๆ แต่รสชาติเผ็ดร้อนด้วยเครื่องเทศที่ผสมอยู่ในน้ำแกงที่มีรสออกเปรี้ยวและเผ็ด แน่นอนมื้อนี้เป็นมังสวิรัติ กินกับน้ำผลไม้ ราคา 100 รูปี 
ตอนเช้าสองข้างทางยังเงียบอยู่เลย

อาหารเช้าวันนี้เริ่มต้นด้วย String Hopper หน้าตาคล้ายขนมจีน

         หลังจากนั้นก็อำลาเมืองแคนดี้เดินไปขึ้นรถเมล์ที่ท่ารถ โชคดีที่เช้านี้มีรถแอร์ให้บริการ เราเลยได้นั่งรถเมล์แอร์ยาวไปถึงเมืองโคลอมโบ ค่าโดยสารคนละ 320 รูปี ขึ้นรถ 8โมงเช้า ใช้เวลาเดินทางสามชั่วโมงครึ่ง เป็นทางลงจากเขาเกือบทั้งหมด ตลอดทางมีฝนปรอยลงมาบ้างและรถก็จอดรับคนไปตลอดเส้นทาง
ท่าปล่อยรถตอนเช้าก็เงียบ วันอาทิตย์นี่เอง

รถแล่นผ่านหุบเขาหลายลูกอีกครั้งก่อนลงสู่ที่ราบ

       รถเมล์ปล่อยเราลงข้างสถานีรถไฟ Colombo Fort เรามีเป้สัมภาระที่รุงรังเลยตัดสินใจว่าจะฝากมันไว้ที่ห้องฝากของของสถานี (Cloak room) ที่นั่นคิดค่าบริการเพียง 56 รูปีเท่านั้น และฝากได้ถึงสามทุ่มครึ่ง เราสามารถใช้บริการแบบนี้ได้ตามสถานีรถไฟใหญ่ๆ ทั่วศรีลังกา
จุดที่รถปล่อยเราลงเป็นแพร้านอาหารอยู่หลังสถานีรถไฟ Colombo Fort

ศรีลังกาเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยมะพร้าวมากๆ

      จากนั้นได้เวลาเดินเล่นต่อไปยังเขตเมืองเก่าที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แค่เดิข้ามถนนไปจากสถานีรถไฟ จุดมุ่งหมายแรกเราจะเดินไปยังมัสยิดจามิอุลอัลฟาร์(Jami-ul-Alfar Mosque)  อยู่ในเขตย่านเมืองเก่าเพตต้า(Pettha)  ใช้เวลาเดินแค่10นาทีก็ถึง
มัสยิดเด่นเป็นแลนด์มาร์คของย่านเพทตะ

ซอยเล็กๆ ทางเข้ามัสยิดเต็มไปด้วยห้างร้านใหญ่ๆ

          มัสยิดจามิอุลอัลฟาร์เป็นสถาปัตยกรรมแบบสมัยใหม่ โดดเด่นด้วยสีสันและการเล่นลายสีขาวที่บาดตาคล้ายนมชั้น ข้างในตกแต่งเรียบง่ายตามหลักศาสนาอิสลามแบบทั่วไป ตัวอาคารสูง6ชั้น สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1909  เดินผ่านมาเรื่อยๆก็จะเจอกับศาลาว่าการเก่า ตรงจุดนี้ใจกลางเมืองเราจะเจอห้างร้านค่อนข้างมาก แต่วันนี้เป็นวันอาทิตย์บรรดาร้านค้าต่างๆจึงปิดทำการเป็นส่วนใหญ่
วันอาทิตย์รถราบนท้องถนนไม่เยอะเท่าไร

จะเหลือแต่ห้างใหญ่ใจกลางเมืองที่เปิดทำการ

อดีตศาลาว่าการเก่าแก่ใจกลางเขตเมืองเก่า

หอนาฬิกาเก่าแก่ประจำเมือง

เราหยุดแวะพักกินข้าวกลางวันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งด้านหน้ามีขนมขายด้วย สั่งแกงปลากับสารพัดผัดผักมาทาน แกงปลารสชาติเผ็ดเลยทีเดียวเมื่ออิ่มแล้วก็เดินเล่นชมเมืองต่อเดินผ่านโบสถ์เก่าแก่ของดัชท์ สร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1642 เป็นแบบหลังเล็กๆ แต่ข้างในร่มเย็นมาก เป็นที่ให้เราเข้าไปหลบร้อนยามบ่ายได้อย่างดี
มื้อเที่ยงนี้เราหิวมากเลยจัดสำรับชุดใหญ่เลย

แกงปลาและสารพัดแกงผัก เนื้อสัตว์ที่นี่ราคาจะสูงกว่าจานทั่วไป

ขนมหวานสไตล์อินเดีย

โบสถ์เล็กๆ แทรกตัวอยู่ในตึกแถว

มัสยิดใหญ่ย่านเมืองเก่าเพทตะ

โบสถ์เก่าแก่ที่สุดอยู่ตรงหน้าเราแล้ว

โบสถ์ดัทช์ที่สร้างแต่ยุคอาณานิคมโครงสร้างยังดีอยู่เลย

กีฬาคริ๊กเก็ต กีฬายอดฮิตของที่นี่ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากอังกฤษ

นี่ไงถึงแล้ว การประปาเมืองโคลอมโบ

เดินเริ่มจะเมื่อยถึงเวลาที่จะต้องเรียกรถแบบเหมาๆ ให้ไปตามที่ต่างๆที่ห่างไกลออกไปแล้วสิ จุดมุ่งหมายต่อไป คือวัดคงคาราม (Ganga Ramaya Temple) และวัดสีมามะละกา (Seema Malaka Temple) เมื่อเรียกรถเสร็จและตกลงราคากันได้ที่ 500 รูปี ก็ออกไป ไปผ่านวัดฮินดูใหญ่ๆ แห่งหนึ่งแต่ปิดในช่วงบ่าย ใช้เวลามาถึงวัดคงคารามที่อยู่ในย่านเมืองใหม่เกือบครึ่งชั่วโมง

ขบวนตกแต่งของงานบุญคริสต์คืนนี้ และวัดฮินดูใหญ่ประจำเมือง

นี่เรามาถึงแล้ว หน้าวัดคงคาราม

วัดคงคารามเป็นวัดพุทธแบบเต็มรูปแบบ มีคนเข้ามาทำบุญเป็นจำนวนมากทั้งคนพื้นี่และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มากับทัวร์ เสียค่าเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติคนละ 200 รูปี คนที่มาวัดมักจะแต่งกายด้วยชุดขาวทั้งชุด วัดแห่งนี้เป็นวัดพุทธสมัยใหม่ของศรีลังกา มีจุดเด่นอยู่ที่ภาพวาดบนเพดานที่งดงาม พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงของที่ทางวัดได้มา มีทั้งรถโบราณ ของมีค่าต่างๆที่เกี่ยวข้องกับศาสนา และต้นโพธิ์กลางวัดที่บรรจงล้อมไว้ให้คนไปกรวดน้ำเป็นอย่างดี เมื่อเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามจะเห็นวัดเล็กๆ ลักษณะคล้ายศาลากลางน้ำเป็นวัดเดียวที่ไม่ซ้ำแบบใครจนอดไม่ได้ที่จะแวะเข้าไปเยี่ยมชม
พระประธานภายในอุโบสถแห่งวัดคงคาราม 

ให้สังเกตการแกะสลักเรื่องราวต่างๆ

แม้แต่บนเพดานก็ปรากฏภาพวาดมากมาย

พุทธศาสนิกชนที่นี่จะเน้นแต่งกายชุดสีขาวเข้าวัด

การบูชาด้วยดอกไม้ของที่นี่จะใช้ดอกสดโปรยเท่านั้น

การบูชาด้วยเทียนและการเดินวนรอบต้นโพธิ์สามรอบเพื่ออธิษฐาน


ไฮไลท์หนึ่งของวัดคงคารามคือชั้นเรียงพระพุทธรูป คล้ายบุโรพุทโธ
มุมพิพิธภัณฑ์และของสะสมของวัดคงคาราม 

ผ้าอาบน้ำฝนของไทยมาไกลถึงลังกาเลย

ของสะสมที่มีค่ากลุ่มงาช้างสลักจะบรรจุไว้อย่างดีในตู้กระจก

วัดสีมามะละกาเป็นวัดที่สร้างขึ้นมาแบบเรียบง่ายกลางทะเลสาบเบียร่า (Beira Lake) เป็นวัดขนาดเล็กมาก สร้างบนแท่นกลางทะเลสาบสามชั้น ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดัง เจฟฟรีย์ บาวา ตัววัดออกแบบทันสมัยผสานกับศิลปะยุคแคนดี้แบบดั้งเดิม ลักษณะเป็นชานไม้ยื่นลงไปในทะเลสาบ มีพระพุทธรูปรายรอบระเบียงทั้งหมด เก็บค่าเข้าชมสถานที่คนละ 200 รูปี วัดแห่งนี้ร่มเย็นมีลมพัดเย็นสบายไหลเอื่อยจากทะเลสาบนั่นเอง
รอยพระพุทธบาทประทับขนาดใหญ่หน้าวัดสีมามะละกา


เอกลักษณ์ของวัดกลางน้ำคือพระพุทธรูปรายล้อมทั้งสี่ทิศ

วัดสีมามะละกา ถ้าไม่สังเกตดีดีอาจคิดว่าเป็นศาลากลางน้ำ

          หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจทำบุญที่วัดสองแห่งนี้ แดดร่มลมตกหน่อยก็ได้เวลาที่จะไปเดินเล่นดูผู้คนริมหาดซะหน่อย เราเลือกที่จะนั่งรถไปเที่ยวยังกอลเฟซกรีน (Galle Face Green) เป็นพื้นที่สีเขียวของเมืองอยู่ริมชายฝั่งมหาสมุทรอินเดีย ที่แทบจะไม่เหลือพื้นที่สีเขียวแล้วเป็นที่ตั้งของโรงแรมหรูหราสองแห่งคือ โรงแรมทัชสมุทตรา  (Taj Samudra Hotel) และโรงแรมกอลเฟส ( Galle Face Hotel) ช่วงเย็นๆ จะพบกับกิจกรรมของคนเมืองศรีลังกามากมาย ทั้งปิคนิคกินอาหารทะเลทอด ลงเล่นน้ำซึ่งน้ำไม่สะอาดเอาเสียเลยและคลื่นแรงมาก บ้างก็เล่นว่าว บ้างก็ถ่ายรูปหมู่และถ่ายเซลฟี่กันอย่างสนุกสนาน 
ชาวเมืองโคลอมโบล้วนยืนดูคลื่นกระทบฝั่งยามเย็น

คลื่นค่อนข้างแรงมีแต่ผู้กล้าเท่านั้นที่ลงไปเล่นน้ำ

โรงแรมหรูหรา5 ดาว ทัชสมุทรตรา

สแน็คยอดนิยมของคนเดินหาด ปูทอดและกุ้งแผ่นทอด

ไม่ต้องไปไหนไกล ใจกลางเมืองโคลอมโบก็มีน้ำทะเลให้เล่น

ฝั่งนี้จะเป็นโรงแรมกอลเฟส

อีกมุมหนึ่งที่ถ่ายจากสะพานที่ทอดยาวออกไปสู่ทะเล

      เรานั่งดูพระอาทิตย์ตกดินจนเพลินลืมดูเวลาไปว่าจะต้องวางแผนกลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่สถานีรถไฟ และนั่งรถไฟต่อไปยังจุดที่ใกล้สนามบินที่สุด เพื่อขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ กลางดึก เรานั่งรถเมล์กลับไปยังสถานีรถไฟ และต่อรถไฟไปยังเมือง Kurana ที่เราพักในคืนแรกเพื่อไปอาศัยอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและงีบในห้องรับแขกสักครู่ก่อนไป รถไฟใช้เวลาเดินทาง 1ชั่วโมงก็ถึงสถานีกุระนา ค่าโดยสาร 70 รูปี 
สนามหญ้าของกอลเฟสกรีน ไม่กรีนอีกต่อไป
ป้ายรถเมล์ที่จะต้องรอรถที่พาเราเข้าสถานีรถไฟ

รถไฟเที่ยวสุดท้ายมาแล้ว

         ไปถึงที่พักเราได้ขอใช้บริการรถรับส่งสนามบิน โดยใช้รถตู้ของเขาในราคา 700 รูปี ในยามวิกาล เจ้าของที่พักเขาโอเค เขาชวนเราไปเดินชมงานบุญที่โบสถ์คริสต์ประจำหมู่บ้านก่อนไป เพราะเขาเชื่อว่าเราคงไม่ได้เห็นงานแบบนี้บ่อยนักในไทย เราได้ไปตามคำชวนของเจ้าของบ้านก็พบว่ามีการออกร้านขายอาหาร ซุ้มเล่นเกม ขายของกินของใช้ต่าง ไม่ต่างจากงานวัดบ้านเรา คนเดินเบาบางตาและสิ่งที่สะดุดตามากที่สุดเห็นจะเป็นการนำมะพร้าวทั่งลูกมาเรียงเป็นซุ้มประตูทางเข้างาน
งานโบสถ์ประจำปี เขาบอกว่าจัดยาวถึงห้าวัน 

รูปเคารพพระเยซูที่นี่ขขายค่อนข้างดี

ซุ้มประตูเข้างานทำจากลูกมะพร้าวน่าจะเป็นร้อยลูก

            ไม่ว่าจะจัดงานเล็กหรือใหญ่เพียงใด เราเชื่อว่าทุกศาสนาล้วนสอนให้ทุกคนเป็นคนดีดังเช่นชุมชนชาวคริสต์เล็กๆที่อยู่อาศัยในหมู่บ้านนี้ สามทุ่มร้านค้าก็เก็บหมดแล้ว เราได้ซื้อ Hopper กับ Kottu มากินสั่งลาก่อนที่จะอำลาจากศรีลังกาไป กลับเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่พร้อมออกเดินทางอีกครั้ง เราเกรงใจกลัวว่าเขาจะไม่ได้นอน เลยขอให้เขาไปส่งเราเวลาเที่ยงคืนแทนเวลาตีหนึ่ง
แรงศรัทธาจากชาวบ้านช่วยกันประดับประดาตกแต่งไฟอย่างสวยงาม 


                ก่อนจากกันเราให้สัญญาว่าจะแนะนำที่พักที่นี่ให้กับคนไทยอื่นๆที่มาไฟลท์ดึก Grand Traverse Homestay บริหารงานโดยคู่สามีภรรยา  หลังจากนั้นเราก็นั่งรอเงกที่สนามบินแล้วสิ เพราะเที่ยวบินกลับกรุงเทพฯ คุณเธอดันเลื่อนจากออกตีสามเป็นออกตีห้า แล้วใครจะกลับไปทำงานได้ทันล่ะ ได้เวลาอำลาศรีลังกาไปยามฟ้าสางด้วยเครื่องออกจากสนามบินเวลาหกโมงกว่าๆ ดีเลย์ทั้งทีเล่นไปตั้งสามชั่วโมง ใช้เวลาบินอีกสามชั่วโมงครึ่งก็ถึงสุวรรณภูมิ
ลาก่อนศรีลังกา แล้วเราจะมาเยือนท่านอีก


















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น