ตอนเช้าสองข้างทางยังเงียบอยู่เลย
อาหารเช้าวันนี้เริ่มต้นด้วย String Hopper หน้าตาคล้ายขนมจีน
หลังจากนั้นก็อำลาเมืองแคนดี้เดินไปขึ้นรถเมล์ที่ท่ารถ
โชคดีที่เช้านี้มีรถแอร์ให้บริการ เราเลยได้นั่งรถเมล์แอร์ยาวไปถึงเมืองโคลอมโบ
ค่าโดยสารคนละ 320 รูปี ขึ้นรถ 8โมงเช้า ใช้เวลาเดินทางสามชั่วโมงครึ่ง เป็นทางลงจากเขาเกือบทั้งหมด
ตลอดทางมีฝนปรอยลงมาบ้างและรถก็จอดรับคนไปตลอดเส้นทาง
ท่าปล่อยรถตอนเช้าก็เงียบ วันอาทิตย์นี่เอง
รถแล่นผ่านหุบเขาหลายลูกอีกครั้งก่อนลงสู่ที่ราบ
รถเมล์ปล่อยเราลงข้างสถานีรถไฟ Colombo Fort เรามีเป้สัมภาระที่รุงรังเลยตัดสินใจว่าจะฝากมันไว้ที่ห้องฝากของของสถานี (Cloak room) ที่นั่นคิดค่าบริการเพียง 56 รูปีเท่านั้น และฝากได้ถึงสามทุ่มครึ่ง
เราสามารถใช้บริการแบบนี้ได้ตามสถานีรถไฟใหญ่ๆ ทั่วศรีลังกา
จุดที่รถปล่อยเราลงเป็นแพร้านอาหารอยู่หลังสถานีรถไฟ Colombo Fort
ศรีลังกาเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยมะพร้าวมากๆ
จากนั้นได้เวลาเดินเล่นต่อไปยังเขตเมืองเก่าที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
แค่เดิข้ามถนนไปจากสถานีรถไฟ จุดมุ่งหมายแรกเราจะเดินไปยังมัสยิดจามิอุลอัลฟาร์(Jami-ul-Alfar
Mosque) อยู่ในเขตย่านเมืองเก่าเพตต้า(Pettha)
ใช้เวลาเดินแค่10นาทีก็ถึง
มัสยิดเด่นเป็นแลนด์มาร์คของย่านเพทตะ
ซอยเล็กๆ ทางเข้ามัสยิดเต็มไปด้วยห้างร้านใหญ่ๆ
มัสยิดจามิอุลอัลฟาร์เป็นสถาปัตยกรรมแบบสมัยใหม่ โดดเด่นด้วยสีสันและการเล่นลายสีขาวที่บาดตาคล้ายนมชั้น
ข้างในตกแต่งเรียบง่ายตามหลักศาสนาอิสลามแบบทั่วไป ตัวอาคารสูง6ชั้น สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1909 เดินผ่านมาเรื่อยๆก็จะเจอกับศาลาว่าการเก่า
ตรงจุดนี้ใจกลางเมืองเราจะเจอห้างร้านค่อนข้างมาก
แต่วันนี้เป็นวันอาทิตย์บรรดาร้านค้าต่างๆจึงปิดทำการเป็นส่วนใหญ่
วันอาทิตย์รถราบนท้องถนนไม่เยอะเท่าไร
จะเหลือแต่ห้างใหญ่ใจกลางเมืองที่เปิดทำการ
อดีตศาลาว่าการเก่าแก่ใจกลางเขตเมืองเก่า
หอนาฬิกาเก่าแก่ประจำเมือง
เราหยุดแวะพักกินข้าวกลางวันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งด้านหน้ามีขนมขายด้วย
สั่งแกงปลากับสารพัดผัดผักมาทาน
แกงปลารสชาติเผ็ดเลยทีเดียวเมื่ออิ่มแล้วก็เดินเล่นชมเมืองต่อเดินผ่านโบสถ์เก่าแก่ของดัชท์
สร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1642 เป็นแบบหลังเล็กๆ แต่ข้างในร่มเย็นมาก
เป็นที่ให้เราเข้าไปหลบร้อนยามบ่ายได้อย่างดี
มื้อเที่ยงนี้เราหิวมากเลยจัดสำรับชุดใหญ่เลย
แกงปลาและสารพัดแกงผัก เนื้อสัตว์ที่นี่ราคาจะสูงกว่าจานทั่วไป
ขนมหวานสไตล์อินเดีย
โบสถ์เล็กๆ แทรกตัวอยู่ในตึกแถว
มัสยิดใหญ่ย่านเมืองเก่าเพทตะ
โบสถ์เก่าแก่ที่สุดอยู่ตรงหน้าเราแล้ว
โบสถ์ดัทช์ที่สร้างแต่ยุคอาณานิคมโครงสร้างยังดีอยู่เลย
กีฬาคริ๊กเก็ต กีฬายอดฮิตของที่นี่ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากอังกฤษ
นี่ไงถึงแล้ว การประปาเมืองโคลอมโบ
เดินเริ่มจะเมื่อยถึงเวลาที่จะต้องเรียกรถแบบเหมาๆ
ให้ไปตามที่ต่างๆที่ห่างไกลออกไปแล้วสิ จุดมุ่งหมายต่อไป คือวัดคงคาราม (Ganga
Ramaya Temple) และวัดสีมามะละกา (Seema Malaka Temple) เมื่อเรียกรถเสร็จและตกลงราคากันได้ที่
500 รูปี ก็ออกไป ไปผ่านวัดฮินดูใหญ่ๆ แห่งหนึ่งแต่ปิดในช่วงบ่าย
ใช้เวลามาถึงวัดคงคารามที่อยู่ในย่านเมืองใหม่เกือบครึ่งชั่วโมง
ขบวนตกแต่งของงานบุญคริสต์คืนนี้ และวัดฮินดูใหญ่ประจำเมือง
นี่เรามาถึงแล้ว หน้าวัดคงคาราม
วัดคงคารามเป็นวัดพุทธแบบเต็มรูปแบบ
มีคนเข้ามาทำบุญเป็นจำนวนมากทั้งคนพื้นี่และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มากับทัวร์
เสียค่าเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติคนละ 200 รูปี คนที่มาวัดมักจะแต่งกายด้วยชุดขาวทั้งชุด
วัดแห่งนี้เป็นวัดพุทธสมัยใหม่ของศรีลังกา มีจุดเด่นอยู่ที่ภาพวาดบนเพดานที่งดงาม
พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงของที่ทางวัดได้มา มีทั้งรถโบราณ ของมีค่าต่างๆที่เกี่ยวข้องกับศาสนา
และต้นโพธิ์กลางวัดที่บรรจงล้อมไว้ให้คนไปกรวดน้ำเป็นอย่างดี
เมื่อเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามจะเห็นวัดเล็กๆ
ลักษณะคล้ายศาลากลางน้ำเป็นวัดเดียวที่ไม่ซ้ำแบบใครจนอดไม่ได้ที่จะแวะเข้าไปเยี่ยมชม
พระประธานภายในอุโบสถแห่งวัดคงคาราม
ให้สังเกตการแกะสลักเรื่องราวต่างๆ
แม้แต่บนเพดานก็ปรากฏภาพวาดมากมาย
พุทธศาสนิกชนที่นี่จะเน้นแต่งกายชุดสีขาวเข้าวัด
การบูชาด้วยดอกไม้ของที่นี่จะใช้ดอกสดโปรยเท่านั้น
การบูชาด้วยเทียนและการเดินวนรอบต้นโพธิ์สามรอบเพื่ออธิษฐาน
ไฮไลท์หนึ่งของวัดคงคารามคือชั้นเรียงพระพุทธรูป คล้ายบุโรพุทโธ
มุมพิพิธภัณฑ์และของสะสมของวัดคงคาราม
ผ้าอาบน้ำฝนของไทยมาไกลถึงลังกาเลย
ของสะสมที่มีค่ากลุ่มงาช้างสลักจะบรรจุไว้อย่างดีในตู้กระจก
วัดสีมามะละกาเป็นวัดที่สร้างขึ้นมาแบบเรียบง่ายกลางทะเลสาบเบียร่า
(Beira Lake) เป็นวัดขนาดเล็กมาก สร้างบนแท่นกลางทะเลสาบสามชั้น
ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดัง เจฟฟรีย์ บาวา
ตัววัดออกแบบทันสมัยผสานกับศิลปะยุคแคนดี้แบบดั้งเดิม
ลักษณะเป็นชานไม้ยื่นลงไปในทะเลสาบ มีพระพุทธรูปรายรอบระเบียงทั้งหมด
เก็บค่าเข้าชมสถานที่คนละ 200 รูปี วัดแห่งนี้ร่มเย็นมีลมพัดเย็นสบายไหลเอื่อยจากทะเลสาบนั่นเอง
รอยพระพุทธบาทประทับขนาดใหญ่หน้าวัดสีมามะละกา
เอกลักษณ์ของวัดกลางน้ำคือพระพุทธรูปรายล้อมทั้งสี่ทิศ
วัดสีมามะละกา ถ้าไม่สังเกตดีดีอาจคิดว่าเป็นศาลากลางน้ำ
หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจทำบุญที่วัดสองแห่งนี้
แดดร่มลมตกหน่อยก็ได้เวลาที่จะไปเดินเล่นดูผู้คนริมหาดซะหน่อย
เราเลือกที่จะนั่งรถไปเที่ยวยังกอลเฟซกรีน (Galle Face Green) เป็นพื้นที่สีเขียวของเมืองอยู่ริมชายฝั่งมหาสมุทรอินเดีย
ที่แทบจะไม่เหลือพื้นที่สีเขียวแล้วเป็นที่ตั้งของโรงแรมหรูหราสองแห่งคือ
โรงแรมทัชสมุทตรา (Taj Samudra Hotel) และโรงแรมกอลเฟส ( Galle Face Hotel) ช่วงเย็นๆ
จะพบกับกิจกรรมของคนเมืองศรีลังกามากมาย ทั้งปิคนิคกินอาหารทะเลทอด
ลงเล่นน้ำซึ่งน้ำไม่สะอาดเอาเสียเลยและคลื่นแรงมาก บ้างก็เล่นว่าว บ้างก็ถ่ายรูปหมู่และถ่ายเซลฟี่กันอย่างสนุกสนาน
ชาวเมืองโคลอมโบล้วนยืนดูคลื่นกระทบฝั่งยามเย็น
คลื่นค่อนข้างแรงมีแต่ผู้กล้าเท่านั้นที่ลงไปเล่นน้ำ
โรงแรมหรูหรา5 ดาว ทัชสมุทรตรา
สแน็คยอดนิยมของคนเดินหาด ปูทอดและกุ้งแผ่นทอด
ไม่ต้องไปไหนไกล ใจกลางเมืองโคลอมโบก็มีน้ำทะเลให้เล่น
ฝั่งนี้จะเป็นโรงแรมกอลเฟส
อีกมุมหนึ่งที่ถ่ายจากสะพานที่ทอดยาวออกไปสู่ทะเล
เรานั่งดูพระอาทิตย์ตกดินจนเพลินลืมดูเวลาไปว่าจะต้องวางแผนกลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่สถานีรถไฟ
และนั่งรถไฟต่อไปยังจุดที่ใกล้สนามบินที่สุด เพื่อขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ กลางดึก
เรานั่งรถเมล์กลับไปยังสถานีรถไฟ และต่อรถไฟไปยังเมือง Kurana ที่เราพักในคืนแรกเพื่อไปอาศัยอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและงีบในห้องรับแขกสักครู่ก่อนไป
รถไฟใช้เวลาเดินทาง 1ชั่วโมงก็ถึงสถานีกุระนา ค่าโดยสาร 70 รูปี
สนามหญ้าของกอลเฟสกรีน ไม่กรีนอีกต่อไป
ป้ายรถเมล์ที่จะต้องรอรถที่พาเราเข้าสถานีรถไฟ
รถไฟเที่ยวสุดท้ายมาแล้ว
ไปถึงที่พักเราได้ขอใช้บริการรถรับส่งสนามบิน โดยใช้รถตู้ของเขาในราคา
700 รูปี ในยามวิกาล เจ้าของที่พักเขาโอเค
เขาชวนเราไปเดินชมงานบุญที่โบสถ์คริสต์ประจำหมู่บ้านก่อนไป
เพราะเขาเชื่อว่าเราคงไม่ได้เห็นงานแบบนี้บ่อยนักในไทย
เราได้ไปตามคำชวนของเจ้าของบ้านก็พบว่ามีการออกร้านขายอาหาร ซุ้มเล่นเกม
ขายของกินของใช้ต่าง ไม่ต่างจากงานวัดบ้านเรา คนเดินเบาบางตาและสิ่งที่สะดุดตามากที่สุดเห็นจะเป็นการนำมะพร้าวทั่งลูกมาเรียงเป็นซุ้มประตูทางเข้างาน
งานโบสถ์ประจำปี เขาบอกว่าจัดยาวถึงห้าวัน
รูปเคารพพระเยซูที่นี่ขขายค่อนข้างดี
ซุ้มประตูเข้างานทำจากลูกมะพร้าวน่าจะเป็นร้อยลูก
ไม่ว่าจะจัดงานเล็กหรือใหญ่เพียงใด
เราเชื่อว่าทุกศาสนาล้วนสอนให้ทุกคนเป็นคนดีดังเช่นชุมชนชาวคริสต์เล็กๆที่อยู่อาศัยในหมู่บ้านนี้
สามทุ่มร้านค้าก็เก็บหมดแล้ว เราได้ซื้อ Hopper กับ Kottu
มากินสั่งลาก่อนที่จะอำลาจากศรีลังกาไป
กลับเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่พร้อมออกเดินทางอีกครั้ง
เราเกรงใจกลัวว่าเขาจะไม่ได้นอน เลยขอให้เขาไปส่งเราเวลาเที่ยงคืนแทนเวลาตีหนึ่ง
แรงศรัทธาจากชาวบ้านช่วยกันประดับประดาตกแต่งไฟอย่างสวยงาม
ก่อนจากกันเราให้สัญญาว่าจะแนะนำที่พักที่นี่ให้กับคนไทยอื่นๆที่มาไฟลท์ดึก
Grand Traverse Homestay บริหารงานโดยคู่สามีภรรยา หลังจากนั้นเราก็นั่งรอเงกที่สนามบินแล้วสิ
เพราะเที่ยวบินกลับกรุงเทพฯ คุณเธอดันเลื่อนจากออกตีสามเป็นออกตีห้า แล้วใครจะกลับไปทำงานได้ทันล่ะ
ได้เวลาอำลาศรีลังกาไปยามฟ้าสางด้วยเครื่องออกจากสนามบินเวลาหกโมงกว่าๆ
ดีเลย์ทั้งทีเล่นไปตั้งสามชั่วโมง ใช้เวลาบินอีกสามชั่วโมงครึ่งก็ถึงสุวรรณภูมิ
ลาก่อนศรีลังกา แล้วเราจะมาเยือนท่านอีก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น