ยังกล่าวถึงสถานที่ท่องเที่ยวโอซาก้าไม่หมด
คราวนี้ขอมาต่ออีกนิด
ด้วยสถานที่แต่ละแห่งของเมืองโอซาก้านั้นเชื่อมต่อถึงกันหมดด้วยระบบขนส่งมวลชน
แต่เราจะซื้ออย่างไรให้ครอบคลุมจำนวนวันที่เที่ยว ถ้าจะไปภูมิภาคอื่นๆ
นอกเหนือจากคันไซ (Kansai) แนะนำให้ซื้อตั๋วรถไฟ JR Pass
ซึ่งก็มีแบบ
7วันให้เลือกซื้อ เป็นระบบรถไฟรางบนดิน เดินทางไปได้หลายเมือง แต่มีข้อจำกัด คือ
ถ้าซื้อตั๋ว JR จะไปขึ้นรถไฟสายอื่นไม่ได้นอกจากของ JR เท่านั้น
ย่านชินเซไกยามค่ำคืน
ส่วนบัตรโดยสารแบบ Kansai Thru Pass นั้น
มีให้เลือกทั้งแบบ 3 วัน และ 2 วัน เลือกซื้อได้ที่สนามบินคันไซ (Kansai
International Airport) และตามสถานีต่อรถใหญ่ๆ ใจกลางเมือง
โดยเจ้าบัตรนี้จะพาเราเดินทางไปได้ทั่วภูมิภาคคันไซ
ไม่เว้นแม้กระทั้งรถเมล์ต่างเมือง แต่ไม่สามารถนั่งรถระบบJR และรถชินคังเซ็น
หรือรถด่วนพิเศษได้ วิธีใช้งานก็แสนง่ายแค่แตะบัตรลงไปคล้าย Smart Pass ทั่วไป
และมูลค่าบัตรไม่หมดเนื่องจากเดินทางได้ไม่จำกัด แต่จะถุกควบคุมด้วยจำนวนวันแทน
ส่วนวิธีการดูสายรถไฟฟ้าต่างๆ
นั้นให้ดูที่ป้ายและสังเกตสีของป้ายว่าเป็นรถสายสีอะไรแล้วเอาไปเทียบกับสายในแผนที่ที่โหลดมาในแอ๊พ
โดยระบบขนส่งมวลชน Osaka นั้นมีทั้งหมด9 สาย
การเดินทางจากสนามบินก็สามารถใช้สาย Nankai Airport Line ยิงตรงถึงใจกลางเมืองได้เลย
การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าสะดวก แต่บางสถานีก็ไม่มีบันไดเลื่อน
ญี่ปุ่นตามเมืองใหญ่ๆยังคงเป็นสังคมก้มหน้านะคะ
สาวญี่ปุ่นใส่ชุดประจำชาติขึ้นรถไฟฟ้าเป็นเรื่องธรรมดาของที่นี่
Osaka เป็นเมืองที่มีโรงแรมเยอะมาก หลายระดับราคา
แต่เราแนะนำให้จองเสียแต่เนิ่นๆก่อนการเดินทาง
เนื่องจากเป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิตที่นักเดินทางทั่วโลกจะต้องมาเยือน
ถ้าจองช้าหรือมาหาเอาหน้างานอาจพบว่าเต็มและหาที่นอนไม่ได้
โรงแรมมีให้เลือกตั้งแต่ระดับแคปซูล โฮสเทลที่มีห้องนอนเตียงรวมกับคนอื่นเค้า และ Business Hotel ที่คล้ายโรงแรมเซล ไล่ไปจนถึงระดับเรียวกังที่มีห้องออนเซนส่วนตัวเลย
เครื่องซักผ้าและอบผ้ามักจะมีให้บริการอยู่ทุกโรงแรม
แม้แต่ตู้ขายน้ำอัตโนมัติก็ตาม ไม่ต้องกลัวว่าจะหิวกลางดึก
มาเที่ยวโอซาก้าคราวนี้เราขอแนะนำโรงแรม Natural Hot
Spring Super Hotel ตั้งอยู่ที่สถานี Awaza ใช้รถสายสีชมพู Sennichimae Line อยู่ใกล้กับตลาดปลาโอซาก้า กลางคืนคนไม่พลุกพล่านเงียบสงบ
ชั้นใต้ดินของโรงแรมมีออนเซนให้บริการฟรีรวมกับค่าห้อง ค่าที่พักไม่รวมอาหารเช้า ราคาอยู่ที่ 2500-5000
บาทต่อคืน โดยการเลือกโรงแรมที่พักนั้น เราอาจจะนอนที่โอซาก้าเป็นหลักเลยก็ได้
แล้วค่อยนั่งรถไปเที่ยวเมืองรอบนอก เช่น โกเบ นารา เกียวโต แต่ถ้าสัมภาระคุณใบเล็ก
ก็อาจจะย้ายไปนอนเมืองเกียวโตบ้างก็ได้
โรงแรม Natural Hot Spring
ด้านหน้าโรงแรมกว้างขวางและโอ่อ่า
โรงแรมนี้มีตู้หยอดขายน้ำด้วย
ห้องน้ำภายในห้องพักคับแคบไปนิด ซึ่งเป็นปกติของโรงแรมในญี่ปุ่น
ต่อไปเราจะขอเก็บตกสถานที่ท่องเที่ยวที่เหลือในโอซาก้านะ
วัดชิเทนโนจิ (Shitennoji Temple) ตั้งอยู่ในย่านเทนโนจิ
เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดและสำคัญที่สุดของโอซาก้า สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 593
โดยเจ้าชายโชโทคุ ใช้เป็นที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์ 4 องค์
และยังมีหอเก็บสมบัติล้ำค่าอายุเก่าแก่กว่าพันปี บริเวณวัดกว้างใหญ่ ทาด้วยสีแดงงดงามมาก
ค่าเข้าชม คนละ 300 เยน การเดินทาง นั่งรถไปลงที่สถานี TennoJi
วัดเก่าแก่ วัดชิเทนโนจิ
สร้างแบบเรียบง่ายตามแบบฉบับวัดญี่ปุ่น
ยักษ์เฝ้าประตูวัดดูน่าเกรงขาม
ลานวัดมีบริเวณที่ีกว้างมากๆ
หอคอยสึเทนคาคุ (Tsutenkaku Tower) สร้างขึ้นเพื่อเป็นจุดชมวิวของเมืองโอซาก้า
โดยมีความสูงทั้งสิ้น 103 เมตร หอคอยแห่งนี้สร้างเลียนแบบหอไอเฟลแห่งกรุงปารีส
สร้างครั้งที่สองราวปี 1956 เพราะของเดิมถูกไฟไหม้เสียหาย
ปัจจุบันบนยอดหอคอยมีป้ายพยากรณ์อากาศติดอยู่บอกเป็นรายวัน ค่าขึ้นไปชมวิว คนละ
700 เยน ลงรถสถานี Shin-Imamiya
ภาพเมืองโอซาก้าเมื่อมองจากหอคอยสึเทนคาคุ
หอคอยตั้งอยู่ในย่านเก่าแก่ชินเซไก
บนหอคอยมีการจัดแสดงของขนมแบรนด์ดังด้วย
Osaka Museum of Housing and
Living ใครอยากจะมาย้อนอดีตอันรุ่งเรืองของเมืองโอซาก้าต้องมาที่นี่เลย
พิพิธภัณฑ์บ้านและความเป็นอยู่ของชาวเมืองโอซาก้า
ซึ่งจะนำพาคุณย้อนอดีตไปตั้งแต่สมัยยุคเอโดะจนถึงสมัยโชวะ
เป็นการแสดงความเป็นอยู่ให้ชมผ่านเมืองและโมเดลจำลอง รับรองว่าคุณต้องชอบ
เพราะที่นี่ติดแอร์เย็นฉ่ำมากๆจ้า ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่คนละ 600 เยน เด็ก 300 เยน
เด็กเล็กเข้าฟรี การเดินทางใช้รถไฟฟ้าสาย Sakakuji Line/ Tanimachi Line ไปลงสถานี Tenjimbashisu
ji
แบบจำลองบ้านคนญี่ปุ่นสมัยโบราณ
สมัยเริ่มเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม
โมเดลจำลองวิถีชีวิตความเป็นอยู่สมัยก่อน
โมเดลค่อนข้างสมจริง เหมือนดึงเราไปสู่ยุคนั้นเลย
Umeda อุเมดะ แหล่งช้อปปิ้งทันสมัยตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองโอซาก้า
เป็นแหล่งชุมทางต่อรถไฟไปยังเมืองต่างๆ ทั้งไปเมืองเกียวโตและเมืองโกเบ
สถานีอุเมดะตั้งอยู่ในเส้นทางวงกลมของสาย Osaka Loop มีอาคารสูงขึ้นชื่อคือ อาคารอุเมดะสกาย (Umeda
Sky Building) ชิงช้าสวรรค์สีแดงชื่อ Hep Five และแหล่งรวมร้านอร่อยตามตรอกซอกซอยมากมาย
อุเมดะยามค่ำคืนเต็มไปด้วยแสงสีจากห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่
ย่านร้านค้าแบรนด์เนม ชินไซบาชิ (Shinsaibashi) อยู่ทางทิศใต้ของเมืองโอซาก้า มีสถานี
Shinsaibashi นับเป็นสถานีรถไฟขนาดใหญ่ ย่านนี้จะประกอบด้วย ย่านชินไซบาชิ (Shinsaibashi)
แหล่งช้อปปิ้ง
ย่านอเมริกามูระ (America-Mura) แหล่งช้อปปิ้งวัยรุ่นเด็ก ถนนมิโดซูจิ (Mido-suji)
แหล่งรวมร้านค้าแบรนด์เนมขึ้นชื่อ
รวมไปถึงร้านขายของแบรนด์เนมมือสองที่ราคาย่อมเยาพร้อมที่จะทำให้เลือดลมของคุณสูบฉีดและควักจ่ายอย่างไม่รู้ตัวกันไปเลย
ตอนกลางคืนบริเวณใกล้เคียงมีบาร์
เปิดมากมายทั้งบาร์ผู้ชายและบาร์ผู้หญิง
อย่าเผลอเดินเข้าบาร์โฮสเชียวล่ะสาวสาว
ย่านชินไซบาชิ แหล่องช้อปร้านค้าแบรนด์ดัง
ถนนมิโดซูจิกับบูติคแบรนด์เนมทั้งเส้น
ภายในถนนสายช้อปปิ้งกว่า200 ร้านค้า มีของน่าซื้อมากมาย
เสื้อผ้าสไตล์ญี่ปุ่นและชุดยูกาตะแบบมือสองก็มีขายที่นี่
อย่าเผลอเดินเข้าบาร์โฮสเชียวนะสาวสาว
ยามค่ำคืนป้ายไฟแต่ละร้านอวดประชันโฉมกัน
ยังมีบาร์เล็กๆซ่อนตัวอีกมากตามตรอกซอกซอย
สาวๆ ยามราตรีที่นี่ ไม่หวั่นแม้วันหนาว
ปิดท้ายที่ย่านของกิน
แหล่งวัตถุดิบอันเป็นครัวของญี่ปุ่นที่เราสามารถหาซื้ออาหารสดๆ ปลาสดๆได้ที่นี่
รวมทั้งมีร้านอาหารให้นั่งกินอีกด้วย เพราะที่นี่คือ ตลาดคุโรมอง อิชิบะ (Kuromon
Ichiba Market) ตลาดสดเก่าแก่คู่เมืองโอซาก้ามานาน ที่นี่เราสามารถหาปลาปักเป้าสดๆ
มาทำซาชิมิได้ และที่นี่ไม่ได้มีแค่อาหารทะเลเท่านั้น แม้แต่เครื่องปรุงรส ผักดอง
และผลไม้ก็มีขายที่นี่
ร้านนี้มีปลาปักเป้าจำหน่าย
ตลาดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นครัวญี่ปุ่น
ที่นี่มีไข่หอยเม่นสดขายด้วย
มาเลือกซื้ออาหารสดกันเถอะ
น่าสงสารปลาปักเป้า บางตัวยังหายใจอยู่เลย ราคาแพงมากๆ
แม้แต่ปลาไหลย่างที่นี่ก็มีขาย
ยังมีตลาดอีกหลายแห่ง แต่บรรยายลงในบล็อกนี้ไม่หมด ไว้ไปชมตลาดที่เมืองอื่นกันบ้างละกันนะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น