วันนี้เราต้องตื่นเช้ายิ่งกว่าเมื่อวานเพราะยังมีจุดหมายที่เราต้องไปเที่ยวไกลๆ อีกสองแห่งซึ่งระยะทางนั้นห่างไกลจากตัวเมืองแคนดี้พอสมควร นั่นคือเราต้องเดินทางไปยังเมืองดัมบุลลา (Dumbulla city) ก่อน เพื่อเที่ยวชมความงามของวัดถ้ำดัมบุลลา(Dumbulla Golden Temple) ก่อน จากนั้นจึงค่อยต่อรถท้องถิ่นอีกเที่ยวไปยังอุทยานประวัติศาสตร์สิกิริยา (Sigiriya Rock) ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากเมืองดัมบุลลาเพียง 30 กิโลเมตร อาหารเช้าของวันนี้จึงเป็นขนมปังแบบงับ กินง่ายๆ เดินไปงับไปแล้วไปดักรอเรียกรถโดยสารที่ฝั่งขาออกของเมือง โดยถามทางคนแถวนั้นว่าจะเดินทางไปยังเมืองดัมบุลลานั้นจะต้องขึ้นรถฝั่งไหน เพียงแค่อึดใจเดียว รถก็มาแต่ว่าไม่ได้นั่งนี่สิ เอาวะเป็นไงเป็นกันมันคงจะไม่ได้ยืนไปตลอดเส้นทางทั้งสองชั่วโมงครึ่งหรอกน่า
วัดทองดัมบุลลา (The Golden Temple)
ค่าโดยสารรถขาไปจากเมืองแคนดี้ไปยังเมืองดัมบุลลานั้นแสนจะถูก
ค่าโดยสารเพียง 93 รูปี เพราะเป็นรถร้อนแต่อากาศยามเช้าของเมืองบนที่สูงนั้นไม่ร้อนเท่าไร
โหนรถไปประเดี๋ยวเดียวเราก็ได้นั่ง เพราะแต่ละป้ายจะมีคนขึ้นลงตลอด
เราจึงได้เจอผู้คนหลากหลาย มาในทั้งรูปแบบของวณิพก
พ่อค้าแม่ค้าขายขนมละน้ำที่ได้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนขึ้นมาบนรถ ตลอดทางจะเป็นเส้นทางลงจากเขารถวิ่งได้ไม่เร็วนัก
นั่งหลับไปบ้างได้ชมวิวบ้างสลับกันไป จนรถได้วิ่งผ่านวัดทอง
พระพุทธรูปองค์ใหญ่และเนินเขาสูงๆ นั่นแหละ เราถึงรู้ตัวว่าได้เลยวัดถ้ำดัมบุลลา
หรือวัดทอง (Golden Temple) มาแล้ว
สถานีใหญ่ก่อนถึงวัดดัมบุลลา
เรารีบลุกออกจากที่นั่งเพื่อไปกดกริ่งขอลง
แต่รถแล่นผ่านเลยไปอีกเกือบกิโลถึงจะจอดป้าย
จากจุดนี้เราเลยได้ลงมาเดินชมเนินเขาหินสีน้ำตาลรูปก้อนขนมปัง
และร้านขายของที่ระลึกริมทางที่ของจะเป็นพวกกลองตะโพน และเครื่องดนตรีต่างๆมากมาย
รวมไปถึงงานเครื่องปั้นดินเผาด้วย
ภูเขาหัวโล้นอันเป็นที่ตั้งของวัดถ้ำดัมบุลล่า
ร้านขายของที่ระลึกระหว่่างทางที่นี่จะขึ้นชื่อเรื่องกลอง
เครื่องปั้นดินเผาก็ไม่แพ้กัน
ถึงจุดที่จะต้องขึ้นไปชมความงามของวัดถ้ำทองดัมบุลลา
เจ้าหน้าที่ไล่ให้เราไปเช่าผ้าโสร่งมานุ่งก่อนเนื่องจากเราใส่กางเกงขาสั้นไปเข้าไม่ได้
เสียค่าเช่าไปประมาณ 200รูปี จากนั้นก็ไปซื้อตั๋วค่าเข้าชมด้านหน้าเขาเก็บชาวต่างชาติคนละ 1500
รูปี จากนั้นก็เดินขึ้นบนเขากันได้เลย
อันประวัติความเป็นมาของวัดถ้ำดัมบุลลานั้น
แต่ก่อนเป็นผาสูง 160 เมตร วัดสร้างในยุคก่อนคริสตกาล 100 ปี
ในสมัยกษัตริย์วัลคามพาหุที่ 1 หลังจากหนีผู้บุกรุกชาวทมิฬมาอยู่ที่นี่ 14 ปี และสร้างวัดด้วยความสำนึกบุญคุณ หลังกอบกู้ราชบัลลังก์สำเร็จ
บรรดากษัตริย์แคนดี้ จึงช่วยกันซ่อมแซมและตกแต่งในยุคศตวรรษที่ 17 ตลอดทางขึ้นจนถึงครึ่งทางของเขา
ได้มีการเจาะถ้ำเข้าไปเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปทั้งหมด 5 ถ้ำด้วยกัน
เจดีย์ทรงลังกาแบบระฆังคว่ำเอกลักษณ์ของศรีลังกา
ภายในวัดสงบร่มรื่น
พระพุทธรูปทองคำ พระพักตร์ไม่ยิ้มแย้มเอาเสียเลย
แต่ละถ้ำจะมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ยาวเต็มถ้ำพอดี
สลักจากหินก้อนเดียว บางถ้ำมีพระพุทธรูปมากมายรายล้อมอยู่ กว่าจะเดินครบได้ทั้ง 5 ถ้ำ ใช้เวลามากกว่า
ชั่วโมงครึ่งรวมการเดินึ้นลงด้วย
ลงมาด้านล่างยังมีพระพุทธรูปทองคำตั้งตระหง่านสูงกว่า 30 เมตร เห็นเด่นแต่ไกล บริเวณใต้ฐานองค์พระ ยังมีพิพิธภัณฑ์ดัมบุลลาที่จัดแสดงเรื่องราวของวัดทองแห่งนี้
ซึ่งมีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Golden Temple เราใช้เวลาอยู่ที่นี่จนถึงเที่ยงกว่าๆ
จึงนั่งรถต่อเข้าไปในเมืองเพื่อทานอาหารเที่ยงและหารถเมล์ต่อไปยังสิกิริยา
วิวด้านบนเขาจะเห็นเมืองดัมบุลล่าทั้งเมือง
ทางเข้าชมพระพุทธรูปปางไสยาสน์
พระพุทธรูปอยู่ด้านในนี้
บนเขาอากาศแห้งแล้งมาก จะพบเห็นต้นตะบองเพชรขึ้นทั่วไป
อาหารเที่ยงวันนี้ของเราเป็นสำรับกับข้าวแบบศรีลังกาโดยแท้
มีแกงถั่ว แกงไก่ มะเขือทอด
วิธีการเปิบก็ใช้มือเปิบแบบเดียวกับอาหารอินเดียนั่นแหละ ตอนท้ายเจ้าของร้านใจดีเอาของหวานมาให้ชิมด้วย
คล้ายๆ กับผลไม้แช่อิ่ม รสหวานมากๆ หมดไปเบ็ดเสร็จ 180 รูปี เสร็จแล้วก็นั่งรถที่ฝั่งเดียวกันตรงออกไปยังสิกิริยาได้เลย
ค่าโดยสาร 40 รูปี ใช้เวลาเดินทางแค่ 30 นาทีก็ถึงที่หมาย แลเห็นยอดเขาสิกิริยาอยู่ลิบๆ
ภูผาราชสีห์สิกิริยานี้ช่างดูเป็นสง่าเสียจริง
ระหว่างทางเดินไปท่ารถเมืองดัมบุลลา
นี่แหละข้าวแกงแบบศรีลังกา แต่ี่นี่จะไม่ตักราดข้าวนะ
สำรับกับข้าวศรีลังกาเค้าจะมาเป็นถ้วยๆแบบนี้จ้า
ผาสิงห์สิกิริยา (Sigiriya Rock) นั้นยิ่งใหญ่สูงจากพื้นดินประมาณ 200 เมตร อุทยานประวัติศาสตร์กินอาณาบริเวณกว้างขวางมีคูน้ำล้อมรอบคล้ายกับนครวัด
กว่าจะใช้เวลาเดินจากจุดที่ลงรถบัสจนถึงด่านค่าผ่านประตูนั้นใช้เวลานานทีเดียว
ที่นี่เก็บค่าเข้าสำหรับชาวต่างชาติสูงถึง 30 U$ นับว่าแพงเอาการสำหรับค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ ของศรีลังกาทั้งหมด
ที่นี่ถือเป็นไฮไลท์ใหญ่ๆ แห่งหนึ่งของศรีลังกาเลย
ที่ถือกันว่าถ้าใครยังไม่ได้แวะมาเที่ยวสิกิริยา ถือว่ายังมาไม่ถึงศรีลังกานะ
30U$ สำหรับค่าเข้าจะคุ้มหรือไม่ ลองมาดูกันเลย
ภูผาแห่งสีหราชา สิกิริยา (Sigiriya)
แผนผังเมืองสิกิริยา ลองให้จินตนาการถึงเมืองสมัยก่อนดู
ย้อนกลับไปเมื่อสมัยคริสตศตวรรษที่ 5 พระเจ้ากัสสปะ
เป็นผู้สร้างวังแห่งนี้ขึ้นบนภูผาสูงชัน โดยเนรมิตให้เป็นพระราชวังที่มีฐานเป็นขาสิงห์
บนยอดเขามีสระน้ำนาดใหญ่ คาดว่าสมัยก่อนพระราชวังบนเขาน่าจะมีขนาดที่ใหญ่มากๆ
เพราะขนาดซากที่เหลืออยู่ยังมีขนาดใหญ่โตเลย วังแห่งนี้ทำหน้าที่อยู่เพียง 18ปีเท่านั้น ก็ถูกทิ้งร้างไปแล้ว
บริเวณทางเข้าด้านล่าง
ระยะทางเหมือนจะใกล้แต่คือปีนเขาล้วนๆ
บริเวณโดยรอบของอุทยานสิกิริยาจะมีคูน้ำที่ขุดขึ้นรายรอบพร้อมสระน้ำนาดใหญ่ภายในสวน
มีสระน้ำที่ขุดเพื่อทำน้ำพุสมัยโบราณด้วย
สวนด้านหน้าจะกว้างใหญ่มากใช้เวลาเดินพอกับนครวัดจนกว่าจะได้เข้ามาภายในภูผาสิงห์ เมื่อเดินเลยสวนตกแตต่งที่ทำต่างระดับชั้นขึ้นมาก็จะเข้าสู่โหมดการปีนเขาอย่างจริงจังล่ะ
บันไดจะเริ่มชันขึ้นเรื่อย บางส่วนเป็นอิฐ บางส่วนเป็นบันไดเหล็ก
แต่ททางจะชันขึ้นเรื่อยๆ หลายคนถึงกับต้องหยุดพักตามจุดต่างระหว่างทาง
แล้วค่อยๆรวบรวมกำลังขาฮึดปีนสู้อีกครั้ง
เรากำลังจะไต่ความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงเหนื่อยก็มีจุดให้หยุดพักได้เป็นระยะ
ไฮไลท์เด็ดๆของสิกิริยาคือ
ภาพวาดนังอัปสรหรือนางอัปสรา
ที่เขียนขึ้นบนผนังถ้ำโดยใช้เทคนิคเขียนสีลงบนปูนเปียก หรือที่เราเรียกว่าเฟรสโก (Fresco) นางอัปสรที่นี่มีโฉมอันงดงาม เปลือยอกและลายเส้นวาดอ่อนช้อยมาก
มีทั้งหมดสี่กลุ่มภาพด้วยกัน ไม่ถูกทำลายด้วยฝนและน้ำมือคน
เพราะอยู่ซุกซ่อนอยู่ใต้หินผาและอากาศบนนี้ค่อนข้างแห้งแล้ง และการเข้าชมจะต้องเดินขึ้นบันไดวนขึ้นและลงในทางเดียวกันเท่านั้น
เราขึ้นมาเพื่อสิ่งนี้ภาพวาดนางอัปสราวาดลงบนปูนเปียกแบบเฟรสโก้ ให้สีที่คงทนและติดนานมาจนถึงปัจจุบัน
ซากฐานพระราชวังระหว่างทาง
กรงเล็บสิงห์อันน่าเกรงขามตรงทางขึ้นสู่ชั้นบนสุด
นี่คือทางขึ้นลงที่ต้องอาศัยการไต่และแตะ และอย่ามองลงไป ลมแรงมาก
ถัดจากถ้ำวาดนางอัปสรก็จะถึงจุดที่เป็นฐานพระราชวังเป็นกรงเล็บของสิงห์ดูน่าเกรงขามอยู่ตรงทางขึ้นที่ชันและน่ากลัว
และต้องเดินขึ้นไปอีกกว่า 100 ขั้นเป็นบันไดเหล็กแบบมีราวกั้นกันพลัดตกแต่ก็ไม่ได้สูงไปกว่าเอวนัก
แต่เมื่อเราเดินขึ้นไปจนถึงจุดบนสุดแล้วรับรองเหอะว่าหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งแน่นอน
ภาพที่เห็นเบื้องหน้าเป็นฐานพระราชวังเก่าพร้อมกับลมที่พัดอื้ออึงตลอดเวลา
กาลเวลาและสายลมหรือที่เป็นผู้กัดกร่อนอดีตวังเดิมจนเลือแต่ฐานแบบขั้นบันไดและปิรามิด
หากสงสัยว่าแต่ก่อนพระราชวังแห่งนี้หน้าตาเป็นอย่างไรก็คงต้องหลับตาแล้วจินตนาการเอาเองนะ
การเดินชมความงามข้างบนให้พยายามเดินในรั้วรอบ
อย่าแหกคอกมุดรั้วออกไปริมหน้าผานั่นหมายถึงชีวิตของคุณเลย เดินชมและรับลมเย็นริมผาให้หายเหนื่อยก็ได้เวลาเดินลงไปด้านล่างกัน
ฐานพระราชวังบนยอดเขานั้นยิ่งใหญ่จริง
อันตรายป้ายเตือนห้ามปาสิ่งของลงไปด้านล่าง
ด้านล่างมีแต่ป่า เขาสร้างวังที่อยู่ในป่าจริง
ทั้งแรงลมและฝนทำลายวังจนเหลือแต่ฐานราก
สระน้ำขุดขนาดใหญ่มากไว้ใช้สอยบนยอดเขา
ผังเมืองสิกิริยาวางได้สวยงาม และอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
เมืองโบราณ ปัจจุบันเหลือแต่รากฐานและกรงเล็บสิงห์
ขาลงจะรู้สึกได้เลยว่าถึงไวและใช้เวลาไม่นาน
อาจมีหวาดเสียวบ้างจากตรงช่วงฐานสิงห์ที่มองลงไปแล้วมันชัน
ด้านล่างสุดมีพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับการสร้างสิกิริยาให้เข้าชมฟรี ใช้เวลาเดินไม่นานก็ออกมา
เพราะความยิ่งใหญ่ของภูผาได้บอกเล่าทุกเรื่องราวไว้หมดแล้ว
ขากลับเข้าเมืองแคนดี้
ให้ยึดหลักว่าเคยขึ้นรถมาตรงไหนก็ให้ลงตรงนั้น
ขากลับมีรถไกด์ใจดีอาสารับเราจากกลางทางพาไปส่งที่ป้ายรถเมล์ เราได้โบกรถเมล์สายเดิมกลับลงไปยังท่ารถเมืองดัมบุลลา
และนั่งรถต่ออีกสายจากดัมบุลลาเข้าเมืองแคนดี้ วันนี้ใช้เวลาเดินางไปกลับกว่า 6
ชั่วโมง
ดีที่ขากลับไม่หลับเลยเห็นว่าเป็นละแวกใกล้กับโรงแรมที่พักแล้วจึงขอลงจะได้ไม่ต้องเดินย้อนกลับมาไกล
มันทั้งเมื่อยทั้งล้าและเหนื่อย พอกินมื้อเย็นเสร็จกลับเข้าห้องพักเราก็หลับเป็นตายเลย
มื้อเย็นของเราวันนี้เป็น้าวผัดสับปะรดกับน้ำผลไม้ปั่นเย็นชื่นใจ
ได้เวลานอนแล้วสิ บ๊ายบาย
ตอนสุดท้ายจะพากลับไปเที่ยวยังเมืองหลวงโคลอมโบ (Colombo
City) ก่อนกลับกรุงเทพฯจ้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น