วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ครั้งแรกกับการแบกเป้เที่ยวอินโดนีเซีย ตอนที่2 กว่าจะถึง Lake Toba

            เช้ามาเราต้องตื่นแต่เช้าเพื่อให้ทันกับรถมารับ อาบน้ำแต่งตัวเสร็จยกกระเป๋าลงมาข้างล่างกะว่าจะทานอาหารเช้าของโรงแรมรองท้องเห็นเป็นบุฟเฟ่ต์น่าทานทีเดียว แต่เราก็ลืมไปเลยว่าราคาที่พักโปโมชั่นของแอร์เอเชียมิได้รวมกับอาหารเช้านะจ๊ะ สุดท้ายก็ต้องออกไปทานหมี่ฮกเกี้ยนกันตายหลังโรงแรมอยู่ดี
 นายแบบชวนชิมหมี่ฮกเกี้ยนทะเลและน้ำชาชนิดอัดก๊าซ

                คนจีนที่นี่ขยันทำมาหากินกันมากๆ เมื่อวานที่เราไปนั่งทานก็ประมาณเกือบสี่ทุ่มแล้ว แล้ววันนี้มาทานตั้งแต่ก่อนแปดโมงเช้า ข้าวของก็จัดเตรียมพร้อมขายไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อทานอิ่มแล้ว สนนราคาสองชาม 51000 รูเปียรวมน้ำอัดลมแล้ว เมื่อได้เวลาแล้วเราออกไปนั่งรอรถของบริษัททัวร์ที่พวกเราเหมาด้านหน้าโรงแรม ตอนแรกบริษัททัวร์ส่งรถ Toyota Avanza มารับเพราะคิดว่ามากันแค่5คน แต่นี่มีคนมาเพิ่มอีก2 ทางบริษัทเลยต้องเปลี่ยนรถมาให้ใหม่ ระหว่างที่รอเปลี่ยนรถนั้นเราก็แวะเข้าไปซื้อน้ำและขนมแสน็คของอินโดนีเซียไว้เป็นเสบียงในรถซะหน่อย ประมาณสักครึ่งชั่วโมงรถเก๋งคันหรูได้กลายร่างเป็นรถตู้สภาพสุดเก๋า เก่า พร้อมที่จะล้อหมุนออกไปยังทะเลสาบโทบากันแล้ว
 บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสไก่ อาหารฮาลาลแน่นอน
 แสน็คนี้คือ เผือกทอดกรอบไว้ทานเล่นรองท้องบนรถ
 พี่ยามยืนอารักขาหน้าโรงแรม My Hotel

                กว่าล้อจะหมุนออกจากเมดานก็ปาเข้าไป 9โมงเศษ วันที่ 13 เมษายน ของที่อินโดนีเซียไม่ใช่วันหยุดนะ ทุกคนยังคงทำงานตามปกติ รถราในเมืองเมดานจึงคับคั่งกว่าที่รถตู้ของเราจะแล่นออกไปนอกเมืองเพื่อขึ้นทางด่วนพิเศษได้ก็นานโข คนขับรถทำหน้าที่เป็นไกด์ไปด้วยในคราวเดียวกันจะพาพวกเราเดินทางออกไปสู่เมืองพาราพัท (Parapat City) เพื่อที่จะเดินทางต่อเรื่อข้ามฟากทะเลสาบโทบา (Lake Toba) เพื่อข้ามไปค้างแรมยังเกาะซาโมซีร์ (Samosir Island) 1 คืน ซึ่งการเดินทางศุ่เมืองพาราพัทนั้นจะใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 4ชั่วโมงครึ่ง ในระยะทางเพียง 176 กิโลเมตร อดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดจึงใช้เวลาเดินทางนานนัก พ่อคนขับอธิบายว่าเพราะถนนที่จะแล่นไปมีแค่สองเลน และรถราวิ่งกันช้า อีกทั้งเป็นทางลาดชันไต่ขึ้นเขาด้วย
อาชีพขายของบริเวณสี่แยกต่างๆ
 ทางด่วนชื่อว่า Amplas
ป้ายเชิดชูเจ้าหน้าที่รัฐของอินโดนีเซีย

                รถตู้ของพวกเราได้จอดแวะริมทางเพื่อให้ทุกคนได้ลงจากรถไปทำธุระส่วนตัว เมื่อลงไปก็พบว่ามีร้านค้าริมทางขายของฝากอยู่ มีคณะนักท่องเที่ยวลงมากมาย ส่วนใหญ่เป็นคนมาเลเซียทั้งนั้นไม่มีคนไทยเลย พวกเขาต่างก็ลงมาจับจ่ายซื้อขนมขึ้นไปทานบนรถ อันขนมของฝากแถวนี้ที่ขึ้นชื่อที่สุดคือทุเรียนกวน ข้าวเกรียบต่างๆ ข้าวตัง เผือกทอด มันทอด ฯลฯ พวกเราแวะซื้อเสบียงเล็กน้อยก่อนจะกลับขึ้นรถไป เพราะอีกไม่นานก็จะถึงเวลามื้อเที่ยงแล้ว
 ขนมของฝากจำพวกข้าวเกรียบ ข้าวพองและข้าวตัง
 สาวอินโดแวะซื้อลูกชิ้นทอดริมทาง
ร้านขนมของฝากริมทาง

                พวกเราได้ทานอาหารระดับภัตตาคารสไตล์อินโดนีเซียที่ทางทัวร์จัดเตรียมไว้ให้ นับว่าเป็นสำรับกับข้าวแกงอย่างดี มีอาหารเรียกน้ำย่อยอย่างสลัดแขก ใบมันผัดแห้ง (คล้ายใบปอ) จากนั้นอาหารกับข้าวชุดใหญ่ก็ตามมา มีทั้งไก่ทอดตะไคร้ แกงกะหรี่ไก่ ผัดเผ็ดเครื่องในไก่ ผัดพริกแกงถั่ว พะแนงเนื้อ ซุปเนื้อวัว ทัวร์เค้าจัดมาให้เต็มตัว รสชาติอาหารค่อนข้างจัดจ้านแต่ไม่เผ็ดเหมือนกับแกงไทย พวกเราไม่สามารถรับประทานได้หมด แถมยังตบท้ายด้วยผลไม้เป็นกล้วยหอมใบใหญ่ๆอีก ทานไม่ไหวแล้ว เราเลยเก็บกล้วยหอมไว้เป็นเสบียงฉุกเฉินยามค่ำคืน ว่าแล้วก็ออกเดินทางกันต่อ
Restoran Garuda ภัตตาคารพื้นบ้านอินโดนีเซียที่แวะทานมื้อเที่ยง
 สำรับกับข้าวอินโดนีเซียก็คล้ายคลึงกับสำรับไทย
ลักษณะการตกแต่งตู้กับข้าวหน้าร้าน
            รถตู้คู่กายได้แล่นไต่ระดับความสูงขึ้นเรื่อยๆ ไปตามทางที่เคี้ยวคดระหว่างทางฝนตกตลอดทาง คนนั่งก็เริ่มง่วงงุนมึนงงไปตามแรงโขยกของรถ แต่สิ่งหนึ่งที่ปลุกพวกเราทุกคนให้ตื่นมาได้นั่นคือ ความกว้างใหญ่ของทะเลสาบโทบา (Lake Toba) ที่เห็นอยู่เบื้องล่างของเชิงเขา ไกด์บอกว่านี่เป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของทะเลสาบเท่านั้นมิใช่ทั้งหมด เมื่อถึงจุดชมวิวซึ่งเป็นร้านค้าริมทาง ไกด์จึงหยุดรถให้พวกเราได้ไปทำธุระส่วนตัวแล้วนั่งพักจิบชากาแฟกันสักครู่ ทะเลสาบโทบานั้นเป็นทะเลสาบที่แปรสภาพมาจากปล่องภูเขาไฟขนาดมหึมาที่เกิดการระเบิดครั้งใหญ่จนกลายมาเป็นทะเลสาบ และเป็นทะเลสาบภูเขาไฟที่อยู่สูงที่สุดในโลกด้วย ครอบคลุมพื้นที่ขนาด 1265 ตารางกิโลเมตร บริเวณกลางทะเลสาบมีเกาะขนาดใหญ่ชื่อว่าเกาะซาโมซีร์ (Samosir Island) ความยาวของเกาะประมาณ 90กิโลเมตร
 ความงดงามของโตรกผาริมทะเลสาบโทบา

 เส้นทางระหว่างทางไป Lake Toba
 Lake Toba
 รถตู้พาหนะคู่ใจ
เบียร์พื้นเมืองอินโดนีเซียต้องยี่ห้อนี้เลย

เวลาคล้อยบ่ายรถก็ไต่ระดับลงเขาไปตามทางลาดชัน สิ่งที่พวกเราทุกคนเห็นก็คือ เมืองเล็กๆน่ารักติดกับทะเลสาบกลางหุบเขา มียอดหอนาฬิกาและยอดโบสถ์เป็นสัญลักษณ์ของเมือง เมืองนี้มีชื่อว่า พาราพัท (Parapat City)  เป็นเมืองท่าเล็กๆ ซึ่งเป็นท่าเทียบเรือก่อนที่จะข้ามฝั่งไปยังเกาะซาโมซีร์  ไกด์ได้ปล่อยให้พวกเราช้อปปิ้งตามอัธยาศัยที่ตลาด Tigaraja Market เพื่อจับจ่ายของที่ระลึกพื้นเมือง ย่านนั้นจะเป็นถนนเล็กๆ เลาะเลียบริมทะเลสาบ สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าที่มีแต่ผู้ค้าแต่ไร้ซึ่งคนเดิน เมื่อพวกเราลงจากรถเหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ขายจึงยกมือดักกวักมือเรียกกันยกใหญ่ แต่ละร้านจะจำหน่ายสินค้าที่คล้ายกันไปหมด ทั้งเสื้อผ้าพื้นเมืองสีฉูดฉาด งานแกะสลักไม้ บ้านจำลองแบบบาตัก (Batak House) พวกเราพากันเข้าไปต่อราคาของ คนขายของที่นี่ไม่สามารถพูดอังกฤษได้ ดังนั้นเครื่องคิดเลขจึงสำคัญมากๆ ต้องให้เขากดราคามาให้ดู แล้วเราก็กดราคาตอบกลับไป กดไปกดมาอยู่นาน เราและเพื่อนสนใจงานไม้แกะสลักแบบบาตัก ซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็งสีเกือบดำ ต่อราคาจากคู่ละ 150000 รูเปีย จนเหลือ 80000 รูเปีย เลยตัดสินใจอุดหนุนมาด้วยความเกรงใจไม่อยากถูกพ่อค้าด่า แต่พ่อค้าก็ลองใจแกล้งชักเงินรูเปียส่วนหนึ่งทำท่าจะคืนให้เรา เหมือนกับว่าลดได้มากกว่านั้น เราเลยรีบคว้าธนบัตรจากมือเค้าเท่านั้นแหละ แกด่ายับเป็นภาษาพื้นเมือง ฟังไม่ออกครับ แล้วเราก็เผ่นโกยแน่บออกจากร้านเลย อย่ามาชักเงินเข้าออกกับคนไทยนะ ลดให้เราก็รีบคว้าไว้สิ
 ก่อนเข้าเมือง Parapat จะต้องเสียค่าผ่านทางก่อน
 ร้านขายเสื้อผ้าเพื่อเล่นน้ำและขายผ้าพื้นเมือง
 เครื่องประดับแบบพื้นเมือง
บริเวณตลาดขายสินค้าพื้นเมือง

 ตอนต่อไป พาทุกท่านข้ามไปยังเกาะ Samosir Island และเข้าพักโรงแรมชื่อดัง Carolina Hotel


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น