วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ครั้งแรกกับการแบกเป้เที่ยวอินโดนีเซีย ตอนที่ 6 ชมตลาดผลไม้และดอกไม้แห่งเมือง เบอราสตากี้ (Berastagi)

                ฝนฟ้าอากาศกับการเดินทางนั้นถือว่าสำคัญมากต่อการท่องเที่ยวนะครับ ยิ่งเป็นการแบกเป้ท่องเที่ยวด้วยตัวเองแล้วก็ยิ่งมีความสำคัญที่จะต้องศึกษาข้อมูลดินฟ้าอากาศก่อนการเดินทาง มิฉะนั้นอาจจะหมดสนุกเหมือนกับทริปที่เรากำลังจะไปนี่ครับ ที่พอล้อเริ่มหมุนออกจากเรือนหลังยาว พี่ฝนก็ตั้งเค้าโจมตีและเทกระหน่ำลงมาไม่นานหลังจากออกรถ
ภาพสุดท้ายที่เรือนไม้หลังยาวก่อนที่ฝนจะตกลงมาโครมใหญ่

                จุดหมายต่อไปคือการแวะชมน้ำตกที่สูงที่สุดบนเกาะสุมาตรา  (Sipiso-piso Waterfall) และภูเขาไฟซินาบุง (Sinabung Volcano) จะขอกล่าวถึงน้ำตกก่อนละกัน น้ำตกซิปิโซปิโซ (Sipiso-piso) เป็นน้ำตกที่ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางจากเมืองพาราพัทไปยังเมืองบราสตากี้ อยู่ห่างจากเมืองบราสตากี้เพียง 35 กิโลเมตรเท่านั้น เป็นน้ำตกที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบโทบา ไหลลงมาจากหุบผาที่มีความสูงชันถึง 120 เมตร ซึ่งถ้าฝนไม่ตกมาบดบังทัศนียภาพ ที่นี่จะงดงามยิ่งนัก เพราะฉากหลังของน้ำตกคือทะเลสาบโทบานั่นเอง
Sipiso-piso Waterfall หน้าตาต้องเป็นแบบนี้


                ต่อไปจะขอเอ่ยถึงภูเขาไฟบนเกาะสุมาตราเสียหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าไม่เอ่ยถึงความน่าสะพรึงกลัวของเจ้ายักษ์ใหญ่เจ้าถิ่นแห่งเกาะสุมาตรา เพราะยามใดที่คุณยักษ์พิโรธขึ้นมาก็จะพ่นควันและลาวาเถ้าถ่านออกมาปกคลุมถึงน่านฟ้าภาคใต้ของไทยเลยทีเดียว  ซึ่งในเส้นทางที่รถนำเที่ยวจะพาผ่านนั้นมีทั้งภูเขาไฟซินาบุง (Sinabung Volcano) และภูเขาไฟซิบายัค (Sibayak Volcano) ซึ่งภูเขาไฟซินาบุงนั้นเป็นภูเขาลูกแรกที่จะถึงก่อนซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองบราสตากี้เพียง 30 กิโลเมตร ด้วยความสูงจากยอดวัดได้ 2,417เมตร เหนือระดับน้ำทะเล บริเวณยอดภูเขาไฟมีจุดพักแรมไว้บริการนักไต่เขาด้วย แต่ต้องระวังนะภูเขาไฟลูกนี้ยังคงมีชีวิตอยู่นะครับ ยังคงมีควันและเถ้าถ่านพุ่งออกมาเสมอ โดยต้องเริ่มต้นปีนที่หมู่บ้าน Lau Kawar และ Mardinding ใช้เวลาในการปีนขึ้นประมาณ 4 ชั่วโมงครับ
Sinabung Vocano ยามที่มันปะทุ (เครดิตภาพจากสำนักข่าวรอยส์เตอร์)

                ภูเขาไฟลูกต่อไปที่เราขอเอ่ยถึงซึ่งอยู่ในทริปนี้เหมือนกันแต่ไม่ได้ลงไปดูเพียงเพราะว่าฝนตกหนักและท้องฟ้ามืดเสียก่อน ภูเขาไฟซิบายัค (Sibayak Volcano) ซึ่งมีความสูง 2,172เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งทำให้บนยอดเขามีอุณหภูมิเฉลี่ย 18 องศาฯตลอดทั้งปี แต่ยังเป็นภูเขาไฟที่คุกรุ่นอยู่นะครับที่สำคัญภูเขาไฟลูกนี้ปีนยากกว่าลูกแรกเพราะมีป่าดงดิบขึ้นหนาทึบ การไต่เขาจึงอันตรายกว่ามาก บริเวณปากปล่องยังคงมีลาวาเดือดพล่านอยู่  หากต้องการพิชิตยอดภูเขาไฟลูกนี้ จะต้องไปขึ้นเขาที่หมู่บ้าน Jaranguda ที่เดินเพียง 1.5กิโลเมตร แต่ทางเดินลาดชันมาก และ หมู่บ้าน Raja Berneh ที่อยู่ไกลออกไป 15กิโลเมตร และใช้เวลาในการขึ้น 2.3ชั่วโมง  ขอแถมอีกนิดภาษาอินโดนีเซียเค้าจะเรียกภูเขาไฟว่า กุนุง (Gunung) นะครับ ต้องออกเสียงให้ถูกต้องด้วย
Sibayak Volcano (เครดิตภาพจากศูนย์วิจัยภูเขาไฟ ประเทศญี่ปุ่น)

            สรุปว่าวันนี้คณะเราอดชมทั้งน้ำตกและภูเขาไฟที่เอ่ยมา นี่แหละหนา ความจริงพวกเราก็เลือกเดินทางมาได้ถูกต้องตามฤดูกาล แต่ดันมีมรสุมเข้ามาซะพอดี แบบนี้เค้าเรียกว่าฟ้าดินกลั่นแกล้ง เมื่อไม่ได้ทุกสิ่งสมความตั้งใจ ดังนั้นภารกิจต่อไปคือ แวะเข้าชมความงดงามของเมืองกลางขุนเขา บราสตากี้ หรือเบอราสตากี้ (Berastagi) สามารถเรียกชื่อได้ทั้งสองแบบนะครับ แต่คนอินโดฯแท้ๆ มักจะออกเสียงว่า บราสตากี้ มากกว่า
ทิวทัศน์เมืองบราสตากี้หลังฝนพรำทำเอาอากาศเย็นสุดขั้วหัวใจเลยทีเดียว

               อันเมืองบราสตากี้นั้น (Berastagi) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,220 เมตร จึงทำให้มีอากาศเย็นสบายทั้งปี ตั้งอยู่ใกล้ๆกับทะเลสาบโทบาและอยู่ห่างจากเมืองเมดานเพียง 70 กิโลเมตรเท่านั้น อยู่ใกล้กับภูเขาไฟซินาบุงและซิบายัค จึงทำให้พื้นที่นี้สามารถเพาะปลูกไม้ผลได้เป็นอย่างดี ก็เพราะว่าดินภูเขาไฟเป็นดินที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุนานาประการนั่นเอง จึงทำให้ที่เมืองบราสตากี้นี้เป็นศูนย์กลางค้าส่งทั้งผักและผลไม้ ผลไม้ที่ขึ้นชื่อที่นี่เลยคือ อะโวคาโด เสาวรส มะม่วง ส้ม สตรอเบอรี่ สละ ซึ่งสละอินโดนีเซียนั้นขึ้นชื่อมากเรื่องความกรอบของเนื้อสละ  และผลไม้หน้าตาคล้ายแตงที่มีชื่อว่า Pepino ซึ่งน่าลองซื้อมาชิมกัน ผลปรากฏว่ารสชาติคล้ายแตงจริงๆ แถมจืดสนิทอีกต่างหาก และสละนั้นกรอบก็จริงแต่เปรี้ยวอมฝาดมากๆ น่าผิดหวังสำหรับสละอินโดฯที่เลื่องชื่อระบือไกล
 ตลาดผลไม้และราคาน้ำมันวันนี้ 
 คณะทัวร์ลูกเป็ดพร้อมกันที่ตลาดผลไม้ครับผม
 สถานที่ท่องเที่ยวของเมืองนี้ที่ขึ้นชื่อก็คือตลาดผลไม้และตลาดดอกไม้ ส่วนใหญ่เป็นไม้ดอกเมืองหนาว และมีม้าไว้บริการนักท่องเที่ยวให้ขี่ชมรอบเมือง พร้อมระบุอัตราค่าบริการไว้เสร็จสรรพไม่ต้องกลัวเรื่องโดนฟันราคา แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นแล้วน่าสงสารคือที่ตลาดมีกระต่ายขายด้วยครับ แต่ไม่ใช่ขายเพื่อนำไปเลี้ยงไว้ดูเล่น แต่เอาไปฆ่าเพื่อรับประทานเนื้อครับ มิน่าแต่ละตัวอ้วนพีเชียว เค้าตั้งขายแบบว่าไม่กลัวกระต่ายกระโดดหนีเลย ดูแล้วก็น่าสงสารครับ
 รถม้านำเที่ยวชมเมืองพร้อมอัตราค่าบริการ
กระต่ายพันธุ์เนื้อขายเพื่อเป็นอาหารมนุษย์
และแล้วก็ได้เวลาที่จะต้องเดินทางกลับเมืองเมดาน ด้วยระยะทางที่เหลืออีก 70 กิโลเมตร แต่เป็นระยะทางที่หฤโหดสำหรับคนขับรถมากๆ ทางโค้งหักศอกที่ลาดชันลงเขากอปรกับฝนที่ตกกระหน่ำมาจนทางบางช่วงมีน้ำป่าไหลบ่าตัดตรงกลางถนน ถ้าไหลนานๆไม่แน่ถนนก็อาจจะขาดได้ พวกเราทุกคนภาวนาให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย คนขับแกชำนาญเส้นทางมากขับช้าก็จริงแต่ปลอดภัย  100% ขากลับใช้เวลาประมาณ2ชั่วโมงกว่าทั้งที่ระยะทางแค่นั้นเอง ถึงช้ายังดีกว่าไปไม่ถึงนะ พวกเรากลับมาถึงเมดานประมาณสองทุ่ม ท่ามกลางความเหนื่อยเมื่อยล้าจากการนั่งรถแต่เช้า สิ้นสุดภารกิจการเดินทางโดยจ้างทัวร์ พวกเราให้ทิปไกด์และคนขับรถที่ให้บริการดีมากไปประมาณ 28 ดอลลาร์ และเจ๊หัวหน้าคณะทัวร์ยังได้นำของที่ระลึกจากเมืองไทยมามอบให้ด้วย นั่นคือเสื้อยืดคอกลมสีเหลืองสกรีนลาย Bangkok city Thailandติดไม้ติดมือมาให้แกด้วย แกดีใจมากขอบคุณพวกเราใหญ่เลยและรับมาสวมใส่เดี๋ยวนั้นเลย  สิ่งนี้เป็นสิ่งเล็กๆที่พวกเราไม่ควรมองข้ามนะครับ นั่นคือการนำของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆ จากประเทศของเรามามอบให้กับคนต่างประเทศที่มีน้ำใจอันดีกับเรา จะเป็นการสร้างความประทับใจให้เค้ามากขึ้นไปอีก   
 Wisma Sederhana Budget Hotel
 บริเวณล็อบบี้ของโรงแรม
การกลับมาเมืองเมดานเที่ยวนี้เราไม่ได้จองที่พักไว้ที่ My Hotel เพราะได้จองไว้ในคืนสุดท้ายก่อนเดินทางกลับ ดังนั้นวันนี้จึงต้องแยกกันพักกับกลุ่มสาวๆ รถตู้ของบริษัททัวร์ปล่อยสาวๆลงที่โรงแรมแห่งหนึ่งในย่านไชน่าทาวน์ ส่วนเราสองคนกลับมาที่โรงแรมวิสม่า (Wisma Hotel)  ที่อยู่ติดกันกับ My Hotel ราคาโรงแรมที่นี่ถูกกว่ามากประมาณ 180,000 รูเปีย หรือประมาณ600บาทไทย เป็นห้องเตียงเดี่ยว แอร์ น้ำอุ่นพร้อม แต่ห้องพักอยู่ชั้นสี่เดินเมื่อยไม่น้อย ที่นี่มีบริการนวดสปาด้วยนะครับที่ชั้นสอง เก็บข้าวของเสร็จเราก็เดินออกไปที่ถนนที่ใกล้กับแท็งก์น้ำเพื่อไปทานอาหารตามสั่งแบบพื้นเมือง เราสั่งข้าวผัดไก่และหมี่ผัดไก่มาคนละชาม (Nasi Gorng Ayam & Mee Goreng Ayam) ที่นี่เขาโรยข้าวเกรียบมาด้วยแต่น้ำมันที่ใช้ผัดนี่สิเหลือรับประทานจริงๆ สนนราคาสองจาน 24,000 รูเปีย
 ร้านอาหารตามสั่งพื้นบ้านของชาวเมืองเมดานแม้ดึกแล้วคนก็ยังแน่น
ข้าวผัดและหมี่ผัดใส่เนื้อไก่แถมไข่เจียวมาให้ด้วยทานคู่กับข้าวเกรียบอินโดฯ
พรุ่งนี้แล้วจะเป็นวันท่องเที่ยวอิสระหนึ่งวัน จะตื่นสายยังไงก็ได้ชีวิตเป็นของเราไม่ต้องทำตามสูตร 5-6-7 เหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา วันรุ่งขึ้นเราเลยตื่นเสียเก้าโมงแล้วลงมาทานอาหารเช้าที่ทางโรงแรมบริการให้ฟรี เป็นข้าวผัดตักแบบบุฟเฟ่ต์ ทานพร้อมกับชาร้อนแก้เลี่ยน ให้ท้องอิ่มก่อนแล้วค่อยคิดว่าจะไปไหนกันต่อ
 บุฟเฟ่ต์อาหารเช้ามีข้าวผัด แผ่นข้าวโพดทอดและขนมชั้น
 ข้าวผัดต้องรับประทานกับชาร้อนนะ ไม่งั้นมันจุกอกแน่ๆ

ตอนต่อไปจะเป็น City Tour Medan เป็นการเดินเท้าแบบไม่ง้อรถโดยสารแทบจะตลอดทริปครับ

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น