วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ครั้งแรกกับการแบกเป้เที่ยวอินโดนีเซีย ตอนที่3 ข้ามเกาะซาโมซีร์ (Samosir Island) ท่ามกลางความน่าสะพรึงกลัว

                โดนพ่อค้าด่าไล่หลังพร้อมกับได้ข้าวของมาในราคาที่พึงพอใจมันช่างมีความสุขเสียนี่กระไร เราต้องรีบออกจากย่านร้านค้าแถวนั้นให้ไวที่สุดก่อนที่จะโดนวิถีประชา สหบาทานะครับ ไกด์ให้เวลาพวกเรา 1ชั่วโมงในการเดินช้อปปิ้ง แต่ไม่มีอะไรน่าสนใจอีกแล้ว เลยเดินเล่นชมเมืองพาราพัทริมทะเลสาบไปพลางๆก่อน ซึ่งก็ชวนให้น่าเมื่อยไม่น้อยก็เพราะว่าเมืองนี้เป็นเนินสูงๆต่ำๆ ทั้งเมืองน่ะสิ เดินลงก็สบายอยู่แต่ไม่อยากนึกถึงตอนเดินกลับขึ้นไปเลย เราเริ่มเห็นสถาปัตยกรรมแบบโทบานีส (Tobanese) ซึ่งจะมีลักษณะเป็นเรือนหลังคาทรงสูง บริเวณกลางหลังคาจะยุบตัวลงไป มีหน้าจั่วที่สูงมากและเด่นชัด บริเวณหน้าบันมีการแกะสลักฉลุลายอย่างวิจิตรงดงาม  หากเป็นบ้านหรือศาลาก็มักจะมุงด้วยหญ้าหรือที่เรียกว่า บ้านแบบบาตัก (Batak House) ซึ่งหากข้ามฟากไปแล้วจะมีให้ชมเยอะมาก
ศาลาของท้องถิ่น สถาปัตยกรรมแบบ Tobanese
 แม้แต่โรงแรมก็มีสถาปัตยกรรมแบบเดียวกัน แต่ใส่รายละเอียดเพิ่ม
 เด็กน้อยในชุดเครื่องแบบนักเรียน
แม้แต่สถานที่ราชการยังคงเป็นบ้านสไตล์บาตักเลย

            ได้เวลาตามนัดไกด์ได้เรียกพวกเราขึ้นรถเพื่อนั่งต่อไปยังท่าเรือเฟอรี่เพื่อที่จะข้ามไปยังเกาะซาโมซีร์ (Samosir Island) ซึ่งเรือข้ามฟากเป็นเรือขนาดใหญ่สามารถไปได้ทั้งคนทั้งรถ แม้แต่รถบรรทุกก็ขึ้นได้ ราคาที่คิดจะคิดเป็นราคาต่อหัวว่าไปกันกี่คน ค่าพาหนะที่ข้ามไปเค้าคิดต่างหากนะ ใช้เวลาเดินทางไปยังเกาะประมาณ 45นาที เที่ยวต่อไปที่เรือจะออกคือ 17.45 น. ท่าเรือที่เราลงเรือมีชื่อว่าท่า Ajibata เพื่อข้ามไปยังท่า โตม็อก  Tomok รอบแรกที่เรือจะออกจาก Ajibata คือ 8.30น. และรอบสุดท้ายคือ 21.00น. ส่วนเรือที่ข้ามจากฝั่ง Tomok นั้นรอบแรก 7.00น. รอบสุดท้าย 19.30น. หากจะไปเที่ยวด้วยตัวเอง ตรวจสอบรอบเรือให้เรียบร้อยก่อนมิฉะนั้นอาจพลาดไม่ทันรอบสุดท้ายแล้วต้องค้างคืนนะ
 ตารางบอกอัตราค่าโดยสารของพาหนะแต่ละชนิด 
เรือเฟอรี่ข้ามฟากที่ไม่ได้ใช้งาน

ตารางเวลาเดินเรือทั้งบนฝั่งและในเกาะ

          ระหว่างที่นั่งรอเรือ พวกเราได้นั่งชมเด็กๆเล่นน้ำกันเพลิน พอหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายเด็กเลยรู้ว่านี่คือนักท่องเที่ยว จากนั้นก็เริ่มเข้ามาขอตัง พอพวกเราไม่ให้และตอบกลับไปว่า Tidak เท่านั้น พวกเค้าก็ไม่มาอีกเลย สักพักเรือใหญ่ก็แล่นมาเทียบท่า พร้อมกับเปิดหน้าเรืออกแลเห็นรถบรรทุกสิบล้อทั้งนั้นเต็มลำเรือเลย คงจะขนสินค้าไปส่งบนเกาะแน่ๆ แล้วกลับมาที่นี่ เราต้องรอรถและคนออกมาให้หมดลำก่อนจึงจะขึ้นไปได้ ซึ่งการลงเรือของรถแต่ละคันจะต้องถอยหลังขึ้นเรือเท่านั้นนะครับ พอถอยเข้าไปแล้วก็ต้องจอดชิดในริมสุดไว้ก่อน เพราะบริเวณกลางลำเรือเค้าจะเว้นไว้ให้รถบรรทุกจอด และเมื่อจอดรถแล้ว คนจะอยู่ในรถก็ได้หรือจะเดินขึ้นไปบนเรือก็ได้ ซึ่งบนเรือจะมีอาหารและเครื่องดื่มให้บริการด้วยครับ
 รถบรรทุกคันโตๆ จะต้องออกมาจากเรือก่อน
เรือเฟอรรี่เข้าเทียบท่า เด็กๆยังคงเล่นน้ำกันอยู่
ฝั่งเมืองพาราพัทเมื่อมองลงมาจากชั้นบนของเรือ

            ถึงเวลาเรือออกแล้ว เด็กๆยังคงโดดน้ำเล่นข้างกราบเรืออย่างสนุกสนาน ยิ่งพอประตูปากเรือกำลังชักขึ้น เด็กๆต่างกรีดร้องและโดดแข่งกันว่าใครจะอยู่บนเรือจนวินาทีสุดท้ายก่อนที่เรือจะเคลื่อนออก หลังจากนั้นพวกเค้าก็โดดขึ้นฝั่งไปเห็นแล้วน่าเสียวไส้แทน  พวกเรานั่งอยู่บริเวณที่นั่งชั้นบนของเรือได้สักพักก็จำต้องลงมาสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างล่าง เนื่องจากในเรือคุณพี่อินโดทั้งชายและหญิงเล่นอัดบุหรี่กันทุกท่านอย่างไม่เกรงใจก็ไม่มีป้ายห้ามสูบบุหรี่นี่นา พวกเราลงมาถ่ายรูปกันบริเวณหัวเรือดีกว่า
ถ่ายรูปกันบริเวณหัวเรือ
ที่พักหรูๆ ริมทะเลสาบโทบา

                ระหว่างทางเรือแล่นผ่านโรงแรมรีสอร์ตหรูริมทะเลสาบมากมาย ท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีเทาดำน่ากลัว อีกไม่นานฝนคงตกหนักแน่ๆ ลมเริ่มพัดแรงขึ้น พวกเราต้องรีบวิ่งกลับขึ้นไปยังห้องพักผู้โดยสารชั้นบนของเรือตามเดิม ฝนตกหนักจนแทบจะเป็นพายุพัดแรงมากจนเรือโคลง นี่พวกเราต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่ทะเลสาบแห่งนี้หรือ จนฝนเริ่มซานั่นแหละไกด์เลยเรียกให้พวกเรากลับไปนั่งในรถด้วยว่าเรือใกล้เทียบท่าแล้ว การเดินทางใช้เวลาราว40นาที ด้านนอกของฝั่ง Tomok มืดสนิท ความมืดโรยตัวมาแล้วกอปรกับฝนยังคงตกอยู่ พอเทียบท่ารถที่อยู่ช่องกลางสุดของเรือจะได้ออกก่อน ส่วนรถที่อยู่ด้านริมสุด ซ้ายขวาจะได้ออกทีหลัง แต่รถทุกคันก็ขับออกจากเรือได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
 ถ่ายรูปกับคู่รักฮันนีมูนสุดทรหด ขี่มอเตอร์ไซต์มาจากเมดานมาถึงที่นี่
ไม่หวั่นแม้ฝนใกล้ตก ขอสวยไว้ก่อนค่ะ

                รถใช้เวลาวิ่งจากท่าเรือ Tomok วิ่งไปตามไหล่เขาประมาณครึ่งชั่วโมง เรามองไม่เห็นข้างทางเพราะว่ามันมืดสนิท แล้วก็พาเขาเช็คอินที่โรงแรมคาโรลิน่า (Carolina Hotel) ประมาณทุ่มนึง ฝนยังคงตกพรำๆอยู่ เราเอากระเป๋าเข้าไปเก็บในห้องพัก ห้องพักค่อนข้างเก่าตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หวายที่ออกแบบเมื่อประมาณ30ปีที่แล้ว เน้นเฟอร์นิเจอร์ไม้หวาย มีระเบียงชมวิวด้านนอก ห้องพักไม่มีแอร์ไม่มีพัดลมแต่อากาศก็เย็นเนื่องจากอยู่บนที่สูง อากาศย่อมเย็นตลอดปี

สภาพห้องพักของ Carolina Hotel 
บริเวณระเบียงด้านนอกของห้องพักยังคงเน้นใช้เก้าอี้หวาย 
ชั้นวางของกับพวกโต๊ะเก้าอี้นั่งเล่นทำมาจากหวายทั้งหมด
 แผนที่ของเกาะซาโมซีร์บริเวณห้องอาหารโรงแรม
ของประดับตกแต่งบริเวณห้องอาหารของโรงแรม

                ไกด์เชิญพวกเราให้ไปทานมื้อเย็นซึ่งรวมอยู่ในค่าทัวร์ เป็นอาหารของโรงแรมไม่เชิงบุฟเฟต์นะ แต่เป็นการเหมาจานเปลมาเลย พวกเรามีกันแค่7คน ทานยังไงก็ไม่หมด  เราเลยชวนไกด์ทานด้วยแต่เค้าปฏิเสธไม่ทาน อาหารมื้อนั้นประกอบด้วยข้าวเปล่าโถโต ผัดผักรวมแบบโถแก้ว แกงจืดรวมมิตรผักใส่ไข่ ปลาผัดเปรี้ยวหวาน ผัดผักบุ้งใส่กุ้ง อาหารทุกอย่างจืดสนิททำให้นึกถึงอาหารพื้นเมืองเมื่อกลางวันรสชาติยังดีกว่ามาก ยิ่งตอนนั่งทานไม่หมด พอจะทานต่ออาหารก็ชืดหมดเสียแล้ว ตบท้ายด้วยผลไม้ซึ่งที่นี่เขาเสริ์ฟมะละกอสุกที่มีเครื่องเคียงเป็นมะนาวให้บีบลงไปที่เนื้อมะละกอ พวกเราลองทำตามแล้วชิม ปรากฏว่ารสชาติดีกว่ามะละกอจิ้มเกลือหรือจิ้มน้ำตาลเสียอีก  ลมเย็นพัดมาเรื่อยๆจนเริ่มหนาว กลับเข้าห้องไปอาบน้ำก็พบว่าน้ำประปานั้นเย็นเยือกเลยเล่นเอาเราสะดุ้ง ที่นี่ไม่มีน้ำอุ่นให้บริการแขกนะครับ พรุ่งนี้ล้อหมุนเวลาแปดโมง ไกด์จะพาพวกเราไปชมหมู่บ้านบาตักกัน อีกทั้งทุกคนเหนื่อยล้ากับการที่นั่งรถมายาวนานกว่า 6ชั่วโมง แล้วค่อยพบกันตอนต่อไปนะครับ
 ชามนี้เป็นแกงจืดถ้วยโตใส่ไข่ด้วย
ผัดผักรวมมิตรรสชาติจืดสนิท
 แม้จะตักอาหารเวียนหลายรอบก็ยังทานกันไม่หมดอยู่ดี
แผนที่แสดงแหล่งท่องเที่ยวบนเกาะซาโมซีร์

ตอนต่อไปพาชมความงามของที่พัก Carolina Hotel และชมหมู่บ้านแบบบาตัก (Batak House)





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น