วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เที่ยวสิงคโปร์ในราคาประหยัด ตอนที่ 4 อ้อยอิ่งริมแม่น้ำสิงคโปร์

                เรารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนสี่โมงกว่า หลังจากที่หลับใหลลืมตื่น ไม่ได้สิเราต้องใช้เวลาที่มีอยู่ที่นี่ให้คุ้มค่าที่สุด ว่าแล้วก็รีบแต่งตัวโดยไม่ได้อาบน้ำช่างหัวมัน เดี๋ยวก็ต้องกลับมาอาบอยู่ดี เราสะพายเป้พร้อมกล้องออกจากที่พักเดินไปทางตลาดลิตเติ้ลอินเดียแวะชักภาพลับเลนส์ซักหน่อย เราเดินผ่านตลาดค้าทองคำ ทองรุปพรรณที่นี่จำหน่ายกันชิ้นใหญ่มากและออกแบบสไตล์อินเดีย ทองชิ้นจะโตแต่ข้างในตีโปร่งไม่ตัน บางร้านถึงกับมีลูกกรงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย คงมีไว้ป้องกันคนปล้นทอง เราเดินข้ามถนนมาที่สนามกีฬาแห่งหนึ่ง เห็นวัยรุ่นสิงคโปร์กำลังซ้อมเล่นจานร่อนกันอยู่ เห็นว่าซ้อมกันอย่างจริงจังเหมือนจะเอาไปแข่งขัน คงจะเป็นกีฬายอดฮิตของคนที่นี่มั้ง  โยนแต่ละทีก็เห็นว่าต้องวิ่งไปรับ บ้างก็กระโดดกันตัวลอยเลย
              เด็กมัธยมออกมาซ้อมกีฬาจานร่อนกันสนุกสนาน
  
             เราลงสถานีใต้ดินที่ Little India N7 เพื่อไปโผล่ที่สถานี Raffles City (ราฟเฟิลซิตี้) เพราะเราจะไปเดินดูบรรยากาศริมแม่น้ำสิงคโปร์กัน ซึ่งเราจะต้องไปเปลี่ยนรถที่สถานี Dhoby Gaut น่าจะอ่านว่าโดบี้โก๊ตนะ  สถานีนี้เป็นสถานีชุมทางที่สามารถต่อรถไปได้หลายที่  เราเดินออกไปเปลี่ยนรถเพื่อไปอีกสาย เย็นวันศุกร์ผู้คนคลาคล่ำเต็มสถานีเดินแทบจะชนกันเพราะมันมีจุดตัดมากมาย เราก็ไปขึ้นสายสีส้มจากเดิมเราขึ้นสายสีม่วง เพื่อไปยัง Raffles City เพื่อไปเดินดูตึกสูงเหมือนย่านสีลมบ้านเรา  เราโผล่ออกจากสถานีใต้ดิน เมื่อเดินขึ้นบันไดมาถึงชั้นบนสุดก็เดินคอตั้งเลย แหงนคอชมตึกระฟ้าเสียเมื่อยเลย ตึกที่นี่สร้างกันสูงมากและสร้างติดๆกันด้วย ประเทศนี้ปลอดภัยจากแผ่นดินไหวก็ดีตรงนี้  เราเดินชมตึกสูงไปเรื่อยๆ เวลาตอนนั้นประมาณห้าโมงเราเห็นหนุ่มสาวออฟฟิศเลิกงานเดินลงมาจากตึกส่วนใหญ่ใส่สูทแบบสากลถือกระเป๋าแบรนด์เนมแพงระยับเดินกันฉับๆ พวกเค้าคงจะรีบกลับบ้านหรือไปนั่งสังสรรค์กันต่อ
 ประติมากรรมเด็กกระโดดน้ำ
 ตึกสูงระฟ้าในย่านธุรกิจ
 นี่ก็อีกตึกหนึ่งที่มีความสูงมาก
              ประติมากรรมบอกเล่าเรื่องราวสมัยอดีตของที่นี่

              เราเดินทะลุตึกต่างๆ จนมาถึงริมแม่น้ำสิงคโปร์ พบเห็นอารมณ์ศิลปินถ่ายทอดผ่านประติมากรรมทองเหลืองตั้งโชว์ท้าสายลมและแสงแดดอยู่ริมแม่น้ำ ฝั่งตรงข้ามคือพิพิธภัณฑ์และอาคารรัฐสภา  เราเดินข้ามสะพานไปถึงพิพิธภัณฑ์ Asian Civilization Museum เท่าที่หาข้อมูลมาทราบว่าทุกวันศุกร์เวลา 18.00-21.00น. พิพิธภัณฑ์จะเปิดให้เข้าชมฟรีจากเดิมค่าเข้าชมประมาณ $15 เราก็รอเวลาทุ่มหนึ่งสิ ระหว่างนั้นเราก็เดินโต๋เต๋ชมความงามของปากแม่น้ำสิงคโปร์ เราเดินผ่านโรงแรมฟูลเลอร์ต้อน (The Fullerthon Hotel) โรงแรมระดับ6ดาว เห็นคนแน่นภัตตาคารฝรั่งที่ตั้งอยู่ใต้โรงแรม มีป้ายโฆษณาอาหารชุดคิดเป็นเงินต่อคอร์สประมาณ 60เหรียญขึ้นไป เราเดินลอดใต้สะพานเพื่อไปโผล่อีกฟากหนึ่งตรงลานสิงโตพอดี Merlion ใครถ้าไม่ได้มาถ่ายรูปกับเจ้าเมอร์ไลออนก็ถือว่ามาไม่ถึงสิงคโปร์นะ เดี๋ยวนี้มีเจ้าเมอร์ไลออนทั้งหมด3ตัวบนเกาะ ตัวที่เล็กที่สุดก็ตั้งอยู่ใกล้กับตัวที่พ่นน้ำลงทะเลนั่นแหละ แต่เจ้าตัวเล็กขนาดน่าเอ็นดูกว่าเยอะ ส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดอยู่บนเกาะเซนโตซ่าโน่น ตัวใหญ่จะไม่พ่นน้ำ  ทุกคนอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปกับเจ้าเมอร์ไลออนในอิริยาบถต่างๆ   ฝั่งตรงข้ามเราก็จะพบกับเจ้าตึกทรงหนามทุเรียนที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นโรงละครชื่อว่า  Esplanade  และอีกฝั่งตรงข้ามที่เป็นตึก3แท่งพร้อมเรือลำมหึมาลอยฟ้าอยู่บนดาดฟ้า นั่นคือโรงแรมหรูระดับ5ดาว Marina Baysand ราคาแพงระยับซึ่งเพิ่งจะสร้างเสร็จ และชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์คล้ายๆกับ London Eye สามารถขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ได้ทั่วปากแม่น้ำ แต่เห็นคิวรอหยาวเหยียดขนาดนั้นเราถอยดีกว่า
 ใต้สะพานใหญ่ข้ามปากอ่าวสิงคโปร์
 มุมที่ใครๆก็ชอบมาถ่ายรูปกัน
 ความงามของอาคารอีกฟากของแม่น้ำ
 โรงแรม Fullerthon โรงแรมระดับ6ดาว
                โครงสร้างสะพานแบบแขวนเก่าแก่ปัจจุบันไม่ให้รถวิ่งผ่านแล้ว
 ตึกทุเรียน Esplanade โรงละครริมอ่าว
 อาคารศาลฎีกาเก่าสมัยยุคโคโลเนียล
 รถสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกมีไว้ให้นั่งชมเมือง ลักษณะเป็นเรือลูกเป็ด ล่องแม่น้ำได้ด้วย
 อนุสรณ์การเสด็จเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ
 อนุสรณ์รูปช้างแห่งสยามนี้สร้างเป็นอนุสรณ์แด่รัชกาลที่5
 โรงแรมและคาสิโนลอยฟ้า Marina Bay Sand
 ความอลังการของเรือที่เป็นสระว่ายน้ำลอยฟ้าของโรงแรม
 สิงโตตัวใหญ่ที่มีคนไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกมากที่สุดจะพ่นน้ำลงอ่าว
 สิงโตตัวน้อยที่ถูกลืมจะพ่นน้ำลงสระของตัวเอง
 อดใจไม่ได้ขอถ่ายเองซักภาพ
 ชิงช้าสวรรค์ชมวิวเหนืออ่าว
 อาคารรัฐสภาเก่าถูกดัดแปลงเป็นแกลเลอรี่แสดงศิลปะ

                 ว่าแล้วก็ได้เวลาที่จะเข้าชมพิพิธภัณฑ์พอดี เราเลยเดินไปตามถนน ผ่านร้านบาร์มีคนรอคิวเพื่อหาโต๊ะว่างเต็มไปหมด อ้อคืนนี้เป็นคืนวันศุกร์นั่นเอง สาวน้อยสาวใหญ่ในชุดทำงานยืนรอโต๊ะว่างกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย  เราเดินไปถ่ายรูปอนุสาวรีย์ท่านเซอร์สแตมฟอร์ด ราฟเฟิล (Sir Stamford Raffles) ผู้สถาปนารัฐสิงคโปร์ เราเดินอยู่หน้าอาคารรัฐสภาแวะถ่ายรูปหน้าอาคารนิดหน่อยแล้วจึงตรงเข้าไปในอาคารพิพิธภัณฑ์  เจ้าหน้าที่ยิ้มให้การต้อนรับเป็นอย่างดีและบอกเราว่ารอบนี้เป็นรอบฟรี เราเดินศึกษาดูเค้าแบ่งเอเชียออกตามภูมิประเทศต่างๆ  แบ่งเป็นตะวันออก อาเซียน เอเชียใต้ และเอเชียตะวันตก เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตมีการนำสื่อมัลติมีเดียมาผสมผสานทำให้ไม่น่าเบื่อ ด้วยความที่ไม่น่าเบื่อทำให้เราเพลิดเพลินอยู่ในนั้นจนเจ้าหน้าที่เดินมาบอกว่าอีก5นาทีพิพิธภัณฑ์จะปิดแล้ว ยังเดินชมไม่ทันทั่วเราต้องเดินออกมาข้างนอก มืดค่ำแล้วใกล้สามทุ่มท้องเริ่มหิว แถวนั้นมีแต่ร้านแนวบาร์เหล้าและร้านกาแฟริมน้ำ เราอยากได้อะไรๆที่หนักท้องเรากลับไปทานอาหารอินเดียแถวที่พักดีกว่า แล้วเราก็เดินชมความงดงามของตึกอาคารริมปากอ่าวกับเมอร์ไลออนอีกครั้งก่อนอำลาเจ้าสิงโต มีคู่รักสวมชุดวิวาห์มาถ่ายรูปกันที่นี่เยอะมาก จากนั้นเราเดินลงรถใต้ดินกลับมาทานอาหารที่ลิตเติ้ลอินเดีย
 อนุสาวรีย์ท่านเซอร์สแตมฟอร์ด ราฟเฟิล ริมแม่น้ำ
 Sir Stamford Raffles บริเวณหน้าโรงละครวิคตอเรีย
 เล็กๆน้อยๆก่อนเข้าชมพิพิธภัณฑ์
 Asian Civilization Museum

 ภายในพิพิธภัณฑ์ในห้องอินเดีย
 วัตถุโบราณของเอเชียจัดแสดงให้ชมทั่วไป
 รูปสลักแบบโบราณ

สิงโตพ่นน้ำยามค่ำคืน
 ตึกสูงระฟ้ายามค่ำคืน
โรงละครและแสงสีริมปากอ่าวยามค่ำคืน
 โรงแรมหรูระดับ6ดาว
ความงดงามของแสงสีทำให้เราไม่ค่อยอยากจะลุกไปไหนเลย

                เราเลือกทานอาหารอินเดียแบบมังสวิรัติ ก็ด้วยราคาอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์นั้นแพงลิ่วไปถึงจานละ 300-400บาทโน่น เราเลือกทานชุดอาหารเป็นแกงผัก แกงถั่ว พร้อมด้วยจาปาตีและข้าวสวย คนอินเดียที่นี่แท้ๆจะเปิบข้าวด้วยมือ แต่เค้าเห็นเรานั่งหน้าเหลืองอยู่จึงแถมช้อนส้อมมาให้ด้วย จะสี่ทุ่มแล้วคนยังแน่นร้านอยู่เลย คนที่นี่เค้านอนดึกกันเนอะ  มิน่าเล่าเค้าถึงบอกว่าเมืองสิงคโปร์มิเคยหลับใหล เราให้เค้าคิดเงินออกมาจ่ายไป $6.80 ราคาก็ไม่แพงเกินไปหรอกสำหรับค่าครองชีพของเค้า เราเดินดูตลาดย่านลิตเติ้ลอินเดียสักพักก่อนที่จะกลับไปนอนที่พักแบบพุงกาง ตอนแรกตั้งใจจะไปเดินช้อปปิ้งต่อที่ห้างมุสตาฟา ห้างที่เปิดตลอด 24ชั่วโมง แต่ก็ต้องพับโครงการไปเพราะวันนี้เมื่อยขามาก อีกทั้งดึกแล้ว ถนนหนทางเดินไปค่อนข้างเปลี่ยว ถึงเจ้าของประเทศจะบอกเหอะว่าปลอดภัย แต่ถนนมืดแบบนั้นเราก็ยังไม่วางใจอยู่ดี แล้วเราก็เลยกลับไปนอนที่ห้องพักแบบหลับสบาย
ชุดอาหารอินเดียแบบมังสวิรัติ มีแกงกระเจี๊ยบ แกงผัก และซุปข้นถั่ว และที่ขาดไม่ได้เลยคือนมเปรี้ยว

ตอนหน้าตื่นมาเช้าวันใหม่เราจะพาเที่ยวไชน่าทาวน์และเซนโตซ่านะจ๊ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น