วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เขมรัฐตุงคบุรี เชียงตุง ตอนที่ 8 ชวนชิมอาหารอินเดียและไปย่ำผับประจำถิ่นเชียงตุง

พวกเราออกมารอรถสามล้อมารับตามเวลานัดหมายแต่รถยังไม่มาเราเลยเดินชมเมืองใกล้ๆแถวนั้น เห็นร้านขายอาหารมีวัยรุ่นนั่งเต็มไปหมด เป็นร้านขายลูกชิ้นปิ้งกับไส้กรอกทอด ทานกับน้ำอัดลม เด็กวัยรุ่นนั่งทานกันเยอะมาก ไม่ได้ขายข้าว แปลกดีเหมือนกันทั้งที่เวลานี้เป็นเวลาทานอาหารเย็นแล้ว สักพักรถสามล้อก็มารับพวกเรากลับไปที่พัก คืนนี้ไกด์จะอาสาพาพวกเราไปแอ่วผับประจำเมืองเชียงตุง พวกเราทุกคนตกลงเพราะอยากรู้เหมือนกันว่าที่นี่จะเปิดเพลงแบบไหน สไตล์ใด เราเลยให้เขามารับตอนสามทุ่ม จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของเราในการไปหาอาหารทานกันเองตอนเย็นและไปอาบน้ำอาบท่าซะ  พอพวกเราอาบน้ำเสร็จก็แต่งตัวออกไปหาอาหารเย็นทานกัน แบบว่าพอที่จะเดินได้ เราเดินผ่านร้านอาหารจีนที่ไกด์แนะนำให้ไปทานแต่ปรากฏว่าร้านหยุดวันตรุษจีน เป็นวันถือที่เค้าไม่ทำงานกัน น่าเสียดายจัง
เราเดินไปเรื่อยๆ ไปตามทางที่จะไปหนองตุง และงานเทศกาลประจำปีด้วยความหวังเล็กเล็กว่าจะมีร้านอาหารบ้างตามรายทาง ก็เห็นมีแต่ร้านก๋วยเตี๋ยวพม่า ร้านขายโรตี จนในที่สุดมาเจอร้านอาหารอินเดีย ขนาด2คูหา มีที่นั่งมากมาย ภายในมีคนพม่าเชื้อสายอินเดียนั่งทานอยู่บ้าง พวกเราทุกคนสนใจทันที อย่างน้อยก็เป็นอาหารที่น่าจะหนักท้องพอสำหรับคืนนี้มีเมนูเนื้อสัตว์พอสมควร เราเดินไปที่ตู้กระจกโชว์กับข้าวด้านหน้า เห็นแกงต่างๆมากมาย น่าสนใจดี ว่าแล้วพวกเราเลยสั่งอาหารกันมาให้เต็มโต๊ะ มีแกงกุ้ง แกงมัสมั่นไก่ แกงแพะ ผัดเผ็ดไก่ ปลาทอด ทั้งหมดทานกับข้าวสวยร้อนๆ มีของกินแกล้มคือ หอมเจียว พริกชี้ฟ้าแห้ง  แกงถั่วแบบข้น มะนาวดอง ซึ่งเค้าให้มาฟรีๆ ตอนหลังมีน้ำพริกถ้วยเล็กๆแบบพริกเผามาให้กินเพื่อตัดรสเลี่ยนอีก เสียดายมื้อนี้รสชาติค่อนข้างเค็ม ร้านนี้เสริฟชาร้อนให้ดื่มเพื่อขับเมือกความมันของอาหารจากลำคอได้เป็นอย่างดี ค่าเสียหายมื้อนี้ประมาณ 500บาท
 สำรับอินเดียวางเต็มโต๊ะมีแกงถั่วเป็นน้ำซุปแก้เลี่ยนเมื่อกินแกงมันๆทั้งหลาย
โฉมหน้าร้านอาหารอินเดียที่ไม่ได้สกปรกตามที่หลายคนประหวั่นพรั่นพรึง

ออกจากร้านอาหารอินเดียเราก็ออกเดินไปชมร้านค้าแถวนั้นที่ยังพอเปิดอยู่ มีร้านขายแว่นตา ร้านจำหน่ายสลากกินแบ่ง ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านขายโรตี ร้านขายของที่ระลึก พวกเราไปกันที่ร้านขายของที่ระลึก เผื่อว่าจะเจองานหัตถกรรมที่น่าซื้อ มีชุดชาวเขาเผ่าต่างๆแขวนอยู่ มีหมวกชาวอาข่าที่เพื่อนเราชอบนักหนา มีกบไม้แบบที่ขายตามถนนข้าวสาร ส่งเสียงร้องได้ด้วยการนำไม้ชนิดเดียวกันไปครูดตามตัวมัน ผ้านุ่งชาวเขาลายแปลกๆก็มีให้ชม เสียตรงที่ว่าสีสันและความประณีตของชิ้นงานยังไม่โดนใจพวกเรา เรานั่งทานกาแฟร้อน ชานมร้อนกันที่ร้านโรตีที่มีคนนั่งเต็มร้าน ที่นี่เปรียบเหมือนสภากาแฟ ท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ของสภากาแฟ พอรถใหญ่คันหนึ่งจอดลงหน้าร้านพร้อมด้วยนายทหารชั้นผู้ใหญ่เดินลงจากรถคันงามและทหารผู้ติดตามอีก2นาย เสียงเซ็งแซ่เป็นนกกระจอกเงียบลงทันที เหมือนว่าคนเชียงตุงจะไม่ชอบรัฐบาลทหารพม่า ท่านายพลมากระมัง เค้ามาสั่งกาแฟนั่งทานนั่งวางท่าใหญ่โต เอาเถอะใหญ่มาจากไหนบ้านหลังสุดท้ายของชีวิตก็โตกว่าตัวหน่อยเดียว เราไม่สนใจพอเราทานเสร็จก็เดินกลับไปที่พัก ระหว่างทางช่างมืดมิดผิดกับหลวงพระบางมากนัก สองทุ่มกว่าปิดบ้านปิดไฟนอนกัน บรรยากาศเงียบงันอย่างกับเมืองร้าง
 ร้านก๋วยเตี๋ยวแบบพม่ามีขายอยู่ทั่วไปทุกมุมเมือง
 เพื่อนเรากำลังเลือกซื้อหมวกชาวเขามาเป็นที่ระลึก
 ของที่ระลึกแบบเสื้อผ้าชาวเขามีวางจำหน่ายไม่มากนัก
ร้านออกสลากหวยยามค่ำคืน

เรากลับไปรอที่โรงแรมจนสามทุ่มจนไกด์มารับไป รถพาไปส่งที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งหน้าผับ ริมหนองตุงลมพัดมาเย็นๆ อาคารเก่าๆโถงใหญ่ถูกดัดแปลงให้เป็นผับสถานที่กินดื่มประจำเมือง ไกด์บอกพวกเราทุกคนให้ทำตัวกลมกลืนกับคนพื้นที่ เมื่อเวลาผ่านประตูให้เงียบเข้าไว้จะได้ไม่เสียค่าเข้าแพงๆ วิธีการนี้ได้ผลอีกแล้วพวกเรากลมกลืนไปกับคนเมืองได้อีก ไกด์เดินไปสั่งเบียร์พม่ามาเป็นขวดๆ กินใส่แก้ว ภายในเปิดเพลงฝรั่งสลับกับเพลงไทย เปิดเพลงพม่าน้อยมาก ดีเจยังพูดเป็นภาษาไทยเลยเวลาที่แกแซวสาวในร้าน นักเที่ยวตบเท้าเข้ามาในร้านอย่างรวดเร็วไม่นานก็แน่นร้านไปหมด ไกด์บอกว่าเรามีเวลาเพียงสองชั่วโมงเพราะที่นี่เขาปิดห้าทุ่ม ตามกฏเคอร์ฟิวของพม่าที่ห้ามผู้ใดออกจากบ้านหลัง5ทุ่ม ทุกคนจะต้องทำตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด หากใครฝ่าฝืนจะต้องถูกทหารพม่าจับกุมและทำโทษตามกฎหมาย คงไม่มีใครอยากหือด้วย เราเต้นไปตามจังหวะเสียงเพลงสักพักร้อนมากจนต้องถอดเสื้อหนาวออก ที่นี่เขาทำเป็นโถงใหญ่แต่ไม่เปิดแอร์ เมื่อมีคนมากเค้าก็จะหายใจเอาไอร้อนออกมา พอเราเดินไปเข้าห้องน้ำยังกับสวรรค์ เพราะมีลมเย็นจากหนองตุงพัดเข้ามาที่ซี่กรง เฮ้อค่อยยังชั่ว
เราออกจากผับก่อนที่มันจะปิด เราตักสินใจเดินกลับที่พัก เพราะเห็นว่ามันก็ไม่ได้ไกลกันเลย ดีออกจะได้สูดอากาศยามค่ำคืนด้วย ร่างกายเริ่มปรับจากร้อนมาเย็นแล้วเราได้สร้างมิตรภาพกับเพื่อนใหม่ที่ไกด์แนะนำมาให้รู้จักจากหน้าร้าน เดินคุยกันไปเรื่อยเป็นภาษาอังกฤษบ้างภาษาไทยบ้าง  เพื่อนคนหนึ่งบอกว่าวันนี้เค้าจะไม่เคร่งครัดเรื่องเคอร์ฟิวเพราะว่ามีงานเทศกาลประจำปีเลยยืดเวลาเคอร์ฟิวไปได้อีก ถามเค้าว่าไม่อึดอัดเหรอ เค้าบอกว่าไม่อึดอัด หากกินเหล้าบ้านไหนแล้วกลับบ้านไม่ทันเคอร์ฟิวเค้าก็จะค้างคืนที่นั่นรอจนเช้าแล้วค่อยออกเดินทาง เราเดินกลับจนถึงที่พักแล้วก็ช่วยกันจัดการทำลายไวน์ขวดที่เหลือที่ซื้อมาจากดอยเหมยพร้อมกับเพื่อนใหม่จนหมดเกลี้ยง ที่พักดับไฟไปแล้ว เราจะต้องจุดเทียนนั่งดื่มกัน  กลับแกล้มเป็นอาหารที่ทานเหลือเมื่อตอนกลางวันจนในที่สุดทุกคนก็ม่อยหลับไปด้วยฤทธิ์สุรา ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบลงในบัดดลพร้อมกับจอประสาทตา

ตอนต่อไปลาแล้วเชียงตุงขอเดินกาดเจ้าเชียงตุงอีกสักรอบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น