เราลุกออกจาที่นอนยากกว่าเมื่อวานนี่ขนาดตั้งปลุกแล้ว โลกยังคงหมุนติ้วอยู่ ผลจากการดื่มเยอะเมื่อคืน เราตื่นเช้าเพื่อไปกาดเจ้าเชียงตุง (ตลาดเช้า) เหมือนเดิม เพียงแต่วันนี้ทุกคนตั้งใจจะไปทานโรตีที่ตลาดแทน หลังจากที่เมื่อวานติดอกติดใจโรตีจิ้มถั่ว เราสั่งโรตีทั้งแบบแผ่นบางและแผ่นหนาจิ้มทั้งนมข้นหวานและจิ้มถั่ว โดยไม่ลืมที่จะสั่งซาโมซ่ามาด้วย
สถานีดับเพลิงประจำเมืองเชียงตุง อยู่ตรงข้ามกับตลาด
วิถีชีวิตชาวบ้านเดินตลาดยามเช้า
สาวพม่าผมยาวกรอมเท้า ผมยังหนามากแสดงว่าสุขภาพผมดีมากๆ
การสนทนาระหว่างแม่ค้าดอกไม้และคนรู้จักกัน
จักรยานของผู้มาจ่ายตลาดจอดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
เราดินชมตลาดสักพักก็ได้เวลาที่จะกลับที่พักเพื่อไปเตรียมตัวออกจากที่พัก เราจ่ายค่าที่พัก2ห้อง 2คืน เบ็ดเสร็จ 2800 บาท แล้วเราต้องจ่ายค่าเหมารถท่องเที่ยวทั้งวันรวมถึงเช้านี้ด้วยอีก3500บาท นี่คือการต่อราคาแล้วจากเดิมที่เค้าจะเรียกจากเรา 4000บาท เราทำธุระส่วนตัวเก็บข้าวของเสร็จ รถสามล้อก็มาส่งเราที่สถานีท่ารถ เราต้องขึ้นรถอีกแห่งซึ่งเป็นคนละที่กับขามา เราจ่ายค่าตั๋วรถอีกคนละ350บาท รถออกประมาณ10โมงเช้า เรายังมีเวลาเหลือที่จะไปเดินเล่นแถวท่ารถได้อีก เพื่อนเราใส่บาตรกับเณรน้อย พระสงฆ์ที่นี่สามารถรับเงินสดจากผู้มาทำบุญได้เลยโดยไม่ต้องใส่ซอง และดูเหมือนท่านจะชอบให้ใส่เงินในบาตรมากกว่าใส่อาหารเสียอีก และแล้วเราก็ลาจากไกด์แสนมุ้ง เค้ามีความจำเป็นที่จะต้องกลับบ้าน เค้าเลยส่งเพื่อนเค้าคนหนึ่งมาเป็นไกด์ควบคุมพวกเราแทน เรารวบรวมเงินจำนวนหนึ่งใส่ซองทิปให้ไกด์ไปตามธรรมเนียมแล้วร่ำลากันตรงนั้น
ตลาดยามเช้าหน้าวัดบริเวณขนส่ง
บริเวณหน้าประตูวัด
ถวายปัจจัยแด่เณรน้อยทั้งสองกำลังยืนให้พรเป็นบทสวดแบบพม่า
สถานีขนส่งสร้างอย่างเรียบง่ายมีผู้คนมารอรถเป็นจำนวนมาก คันหนึ่งไปเมืองยอง คันหนึ่งไปเมืองลา อีกคันกลับไปท่าขี้เหล็ก วันนี้เราจะกลับไป Thachiliek คนไทยอ่านท่าขี้เหล็ก คนพม่าอ่านออกเสียง ทาชีลี้ก แสดงว่าเราอ่านออกเสียงตามความสะดวกของเรา รถที่เราโดยสารเต็มเอี้ยดจนต้องมีเก้าอี้เสริม (เก้าอี้พลาสติกวางแถวกลาง ) ขากลับรถจะต้องผ่านเมืองพยาก (เมืองแพรก) จุดที่รถจอดให้คนแวะทานข้าวตอนเที่ยวมาเชียงตุงนั่นแหละ รถออกตรงเวลาล้อหมุน ใจหายจังเราจะต้องจากเมืองที่กาลเวลาหยุดนิ่งทั้งที่โลกหมุนผ่านไปนานแค่ไหน
ไม่เป็นไร หากเรามีความตั้งใจที่จะมาคงมาเยี่ยมพี่น้องชาวไทยพลัดถิ่นได้อีกน่า บนรถเปิดหนังองค์บากให้ได้ทัศนา พวกเราส่วนใหญ่หลับไม่ได้สนใจสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้า รถไปถึงเมืองพยากประมาณเที่ยงๆ เราแวะกินก๋วยเตี๋ยวพม่าเหมือนเดิม แต่คราวนี้ใส่ข้าวแรมฟืนตัดลงไปด้วย ชามละ15บาทเท่านั้น ทานพออิ่ม เพื่อนเราอีกสองคนขอลาไปกินข้าวแกงเพราะเห็นว่ามันอยู่ท้องมากกว่าแล้วก็กลับมาบ่นว่าไม่อร่อย แล้วเราก็ซื้ออ้อยไปทานบนรถเหมือนเดิม รถมาถึงเขตเมืองท่าขี้เหล็กประมาณบ่ายสอง เราเปิดมือถือก็พบว่ามันมีสัญญาณพอดี การจะมีโทรศัพท์มือถือสักเครื่องจดทะเบียนเบอร์ในพม่าเป็นเรื่องยากเย็นมาก ค่าจดทะเบียนและบริการแพงกว่าค่าเครื่องอีก ยกเว้นเมืองท่าขี้เหล็กที่มีการใช้เครื่องจากเมืองไทยและใช้สัญญาณจากเมืองไทยได้เมืองเดียว ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนได้ติดต่อสื่อสารกัน อันจะเป็นภัยต่อระบอบเผด็จการทหารกระมัง (คิดเอาเองนะ)
สตรอเบอรี่สดและแอปเปิ้ลสดมีจำหน่ายในเมืองพยาก ในราคาตะกร้าละ 30บาท
บรรยากาศเมืองพยากตอนใกล้เที่ยง แต่อากาศก็ยังเย็นเยือกอยู่
ฝรั่งเดินไปมาหน้าตาเฉยในอากาศเช่นนี้
รถไปถึงสถานีขนส่งท่าขี้เหล็กตอนบ่ายสองกว่า เราจองรถขากลับจากแม่สายเข้ากรุงเทพฯ ตอน5โมงเย็น เรามีเวลาที่จะเดินซื้อของที่ตลาดท่าขี้เหล็กได้อีก ขากลับพวกเรานั่งรถสองแถวไปลงที่ตลาดตกคนละ30บาทเอง ระหว่างทางเราได้ยินเสียงเปิดหวูดดังลั่นพร้อมกับเสียงโข่งดังแบบที่เราฟังไม่ออก รถทุกคันที่วิ่งอยู่รีบชิดขอบถนนทันที คนที่โดยสารมาด้วยบอกว่า นายทหารระดับชั้นผู้ใหญ่ผ่านมา อ้อวีไอพีเป็นแบบนี้นี่เองถ้าเป็นนายพลอาวุโสสูงสุดนี่คงต้องปิดถนนกันเลยแน่นอน เราลงรถที่ตลาดเพื่อนของเรามุ่งตรงไปที่ร้านขายดีวีดีเลือกซื้อซีรี่ส์ยาวไปดูที่บ้าน อีกคนไปเหมากระเป๋าก็อปปี้แบรนด์ดังเพื่อนำไปขายในกรุงเทพฯ เราเดินดูของที่นี่บ่อยเพราะต้องมาทำงานแถวนี้เลยรู้สึกเฉยๆกับข้าวของพวกนี้ จนได้เวลาเย็นเราก็ได้เวลาเดินกลับไปฝั่งไทย เราต้องไปรายงานตัวที่ห้อง ตม. เพื่อขอเอกสารหนังสือเดินทางคืนจากห้องนั้น จากนั้นเค้าก็เก็บหนังสือผ่านแดนชั่วคราวคืน ไม่ได้ให้เรานำกลับไปเป็นที่ระลึก แล้วเราก็เดินกลับข้ามมาตอนห้าโมงเย็นได้เวลาขึ้นรถกลับพอดี การเดินทางครั้งนี้ได้ประสบการณ์ต่างๆมากมายเกี่ยวกับการเดินทางไปในประเทศที่ปิด ว่าแท้จริงแล้วประเทศเหล่านี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด หากไม่ได้สรุปความข้างเดียวจากที่เขาลือกันมา ดินแดนเชียงตุงพม่าก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับชาวแบกเป้ว่ามันคุ้มค่าควรที่จะมาเยือนสักครั้งในชีวิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น