วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เขมรัฐตุงคบุรี เชียงตุง ตอนที่6 ไม่อยากจากเธอไปเลย ดอยเหมย

               ไกด์พาพวกเราเดินขึ้นเนินไปดูบ้านผู้คนบนดอย มีชนเผ่าต่างๆมากมาย บางบ้านเป็นอาข่า บางบ้านเป็นคนจีน บางบ้านเป็นพม่า แต่ก็อยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน เค้ามีความสมานฉันท์และปรองดองกัน แดดจ้ายามบ่าย ไม่ได้ทำให้อากาศร้อนสักนิดเลย เราเดินผ่านบ้านโบราณอายุกว่าร้อยปีถูกทิ้งร้างไว้ ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่เป็นบ้านตึกประตูบานไม้ใหญ่โตมาก พื้นและระแนงไม้เริ่มผุพังไปตามกาลเวลา เราเดินผ่านเห็นชาวบ้านกำลังชั่งตวงวัดของด้วยลูกตุ้มแบบโบราณอยู่ เราเห็นบ้านที่สร้างด้วยดินสีแดงและอิฐสีแดงแลแข็งแรงมั่นคงมาก พลางนึกถึงบ้านเราที่มีการสร้างบ้านดินกันมากที่เชียงใหม่ แต่ที่นี่สร้างกันมานานแล้ว ส่วนบ้านคนจีนก็มีการตั้งโต๊ะบูชาเจ้าหน้าบ้าน เพราะช่วงที่เราเดินทางไปตรงกับวันไหว้พอดี หลายบ้านที่นี่ตกแต่งสวนหน้าบ้านได้อย่างน่ามอง และอดทึ่งไม่ได้ไปกับความเรียบง่ายที่ลงตัวในแต่ละหลัง ดูไม่เยอะจนเกินไป เสน่ห์บ้านบนดอยเหมยเป็นเช่นนี้เอง เราเดินผ่านค้างต้นถั่วพลางได้กลิ่นหอมๆ เลยก้มลงไปดอมดมดู อ๋อกลิ่นเจ้าดอกต้นถั่วนี่เอง หอมจริงๆ สีสันแต่ละดอกนี่สวยเกินคำบรรยายจริงๆ มันคือต้นถั่วเหลืองสูงท่วมหัว พวกเราชักภาพกันจนเพลิน มองเวลาอีกทีบ่ายสามแล้ว ได้เวลาที่จะต้องไปที่อื่นๆอีก เราต้องจากค้างต้นถั่วอันเป็นที่รักออกมาด้วยความเสียดายว่าปลูกที่บ้านมันไม่งามเหมือนที่นี่
 ตัวอย่างบ้านบนดอยที่มีการประดับตกแต่งราวกับบ้านตุ๊กตา
 ดอกไม้สีชมพูผลิบานในสภาพที่แทบจะไร้ใบ
 และแล้วเราก็คือผู้พิชิตดอยเหมย ไกด์คือคนซ้ายสุด
 เราแอบซูมทะลุไกด์ไปถ่ายสาวๆเมืองเชียงตุง หน้าคมเชียว
 คุณยายแต่งกายด้วยชุดไม่ทราบเผ่ายืนทักทายพวกเรา
 การชั่ง ตวง วัดแบบโบราณยังมีให้เห็นที่นี่อยู่
 บ้านชาวจีนที่สร้างขึ้นด้วยดินพบได้บนดอยเหมย
 ต้นถั่วสูงมากชูช่อออกดอกกลิ่นหอมฟุ้ง บางต้นก็โตเป็นฝักพร้อมรับประทาน
 เด็กดอยเหมยเค้าก็ออกกำลังกายกันนะ ถึงจะบ่ายแล้วแต่แดดก็ไม่ร้อนเลย
บานประตูบ้านหลังที่เก่าที่สุด อายุกว่าร้อยปี โปรดสังเกตบนเพดานมีตราดาวหกแฉกด้วย

                ไกด์พานั่งรถมาที่ทะเลสาบแห่งหนึ่งบนดอยเหมย ลมพัดแรงจนเราเริ่มหนาว ผืนน้ำด้านหลังคงเย็นยะเยียบ น้ำเป็นสีน้ำเงินเข้ม พวกเราเดินบนสะพานไม้เก่าๆที่ทอดตัวข้ามทะเลสาบไป สะพานเก่ามากจนเกรงว่าหากสมาชิกท่านใดในทริปน้ำหนักเกินเดินข้ามไปจะไม่ปลอดภัย 555 เราเดินข้ามไปจนพบวัยรุ่นกลุ่มใหญ่เค้ามาเที่ยวกัน ทั้งหมดพูดภาษาไทยได้และชอบฟังเพลงไทย ดูละครทีวีของไทย ในขณะเดียวกันก็ชอบซีรี่ส์เกาหลีและนักร้องเกาหลี พวกเค้าทั้งหมดเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเชียงตุง  พอคุยกันได้ถูกคอ จะขอพวกเธอถ่ายรูป พวกเธอทั้งหลายกลับมีท่าทีขวยเขิน หลบกล้องเป็นพัลวันหัวเราะคิกคัก แต่ต่อมาภายหลังก็กล้าสู้กล้องมากขึ้น ยังนึกเสียดายน้องๆระดับปัญญาชน แต่กลับต้องมาเติบโตในดินแดนที่ถูกลิดรอนเสรีภาพ นี่แหละหนาคนเราเลือกเกิดไม่ได้ พวกเราถ่ายภาพธรรมชาติกันชุดใหญ่ก่อนที่จะขึ้นรถไปชมบ้านบนดอยกันต่อ
 ไดโนเสาร์ผู้พิทักษ์ประจำทะเลสาบดอยเหมย
 ความงามของสายน้ำกับทะเลสาบยามบ่าย
 หนุ่มน้อยคนนี้ถอดเสื้อเตรียมจะกระโจนลงสู่ความเย็นยะเยือกของทะเลสาบ
ความผสมผสานกลมกลืนระหว่างชาวไทยกับชาวเชียงตุงแทบแยกกันไม่ออกเชียว

                และแล้วเราก็มาถึงไฮไลท์เด็ด นั่นคือบ้านทรงยุโรปสีแดงหลังใหญ่ตั้งอยู่บนยอดดอยเหมยที่เปิดไว้รองรับนักท่องเที่ยว บ้านหลังนี้มีกลิ่นอายตะวันตกอย่างชัดเจน แบบเป็นอังกฤษแท้เลย มีปล่องเตาผิง ก่อด้วยอิฐสีแดง เหมาะกับการเป็นบ้านฤดูหนาวมากๆ เราเดินชมรอบๆบ้าน บ้านหลังนี้มีครัวแยกออกจากบ้านอย่างสิ้นเชิงเหมือนบ้านที่เราเข้าไปเมื่อเช้า แต่หลังนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1918 อายุใกล้จะร้อยปีเต็มที บ้านหลังนี้มีทหารเฝ้าอยู่2คน เนื่องจากบ้านอยู่บนยอดดอยลมจึงพัดตีจนหน้าชา ไกด์เล่าว่าที่นี่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าพักด้วยในอัตราคืนละ2000บาท แบบเหมาทั้งหลัง อืมไม่แพงนะแต่คงจะต้องซื้ออาหารมาทำเองที่ครัวทั้งหมดเพราะแถบนี้ไม่มีอะไรเลย เราเดินชมจนทั่วก็ได้เวลาที่จะต้องกลับลงไปข้างล่างแล้ว ยังไม่อยากจากเธอไปเลยดอยเหมย
 รถคู่ชีพพาเราขึ้นมาถึงจุดสูงสุดของดอยเหมย
 พวกเราต้องเดินลงจากเนินเพื่อไปยังเรือนรับรองสีแดง
 เรือนรับรองสไตล์อังกฤษสร้างขึ้นในสมัยอาณานิคม
 บริเวณโรงครัว หากใครมาพักที่นี่จะต้องทำอาหารทานเอง
โปรดสังเกตทหารพม่านั่งดูคู่รักยืนเคียงกัน ฮา ฮา

ตอนต่อไปพบกับวัดที่ใหญ่และอลังการที่สุดในเมืองเชียงตุง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น