วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เขมรัฐตุงคบุรี เชียงตุง ตอนที่5 กว่าจะถึงดอยเหมย

รถแล่นออกจากวัดแวะเติมน้ำมันซักหน่อยก่อนเดินทางออกไปอีกไกล ไกด์แนะนำว่าควรจะมาให้ถึงดอยเหมยเพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่ผู้คนนิยมไปพักผ่อนตากอากาศในวันหยุดกันมาก  ใช้เวลาเดินทางประมาณ2-3ชั่วโมง เพราะจะต้องไต่เขาขึ้นไปและทางค่อนข้างลาดชัน พอเติมน้ำมันเสร็จรถพามาออกตรงกำแพงนอกเมืองผ่านประตูเมือง รถเริ่มออกนอกเมืองผ่านมหาวิทยาลัยเชียงตุง ผ่านค่ายทหารหลายแห่ง พออกนอกเส้นทางไปตามทางคดเคี้ยวขึ้นเนินไปเรื่อยๆ อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ ผิดกับแสงแดดที่แผดจ้าแบบฤดูหนาว
 รถแล่นผ่านวัดมหาเมียดมุนีที่เราจะแวะมาชมตอนเย็นวันนี้
 รถแล่นผ่านประตูเมืองเชียงตุง ลักษณะจะคล้ายประตูชัย
 รถต้องเติมน้ำมันก่อนขึ้นดอยเหมย น้ำมันที่นี่ราคาแพงกว่าไทยมาก ทำให้ค่ารถแพงด้วย
 ตามท้องถนนในเมืองเชียงตุงยังมีรถวิ่งไม่มากนัก เป็นจักรยานเสียมาก
 รถแล่นผ่านมหาวิทยาลัยเชียงตุง ไม่มีรั้วรอบขอบชิด
 อย่าเข้าใจผิดนึกว่าเค้ายืนฉี่ใส่รถนะ เค้าแค่เอาน้ำราดเครื่องยนต์ไม่ให้ร้อนเพราะขับขึ้นเขาเท่านั้น
 พาหนะคู่ชีพที่พาเราขึ้นและลงดอยเหมย พวกเราทั้งหมดฝากชีวิตไว้กับเค้า (คนขับ) เท่านั้น

                ทางที่เคยลาดยางก็หมดไป กลายเป็นทางลูกรังฝุ่นก็เริ่มมาทันที รถไต่ขึ้นเรื่อยๆ พวกเราหัวโยกหัวคลอน ถนนแคบลงถ้ามีรถสวนลงมาคงลำบากเพราะถนนที่นี่ไม่มีที่กั้นตกเหวเลย มองลงไปเบื้องล่างเหวชัดๆ อะไรกันเนี่ย  ชีวิตของพวกเราทั้งหมดฝากไว้กับโชเฟอร์ เค้าขับแบบใจเย็นมากๆ แบบค่อยๆไต่ไป จนถึงจุดพักรถริมทาง มีลำธารระบายน้ำจากภูเขาพร้อมรางไม้ไผ่ คนขับจอดรถแล้วไปเอาน้ำมาราดที่เครื่องยนต์เค้าบอกว่าเครื่องร้อนเกินไป ต้องพักสักครู่รอเครื่องเย็น เราทั้งสี่สันณิษฐานว่าน้ำหนักของพวกเราอาจเกินก็เป็นได้ ฮา เราเลยได้โอกาสลงมาเดินยืดเส้นยืดสายและกดชัตเตอร์กันใหญ่ ก่อนที่จะกลับขึ้นรถไป เค้าหยุดจอดแบบนี้ถึงสามครั้งกว่าจะขึ้นไปถึงที่ทำการก็บ่ายกว่า พอใกล้จะถึงด่านตรวจไกด์บอกพวกเราหัวดำทุกคนว่าให้เงียบๆอย่าเพิ่งคุยกัน เค้าจะได้เห็นว่าเป็นคนพื้นที่จะได้ไม่เสียเงินค่าเข้า พวกเราเลยนั่งเงียบๆทำตัวกลมกลืนไปกับคนพื้นที่ แลเห็นรถคันหน้าบรรทุกฝรั่งมาเต็มคันถูกโบกให้จอดชำระค่าเข้า พอมาถึงรถเราคนขับขับผ่านช้าๆ เค้าถามนิดนึงเป็นภาษาพม่าแล้วก็ปล่อยให้เข้ามาได้โดยไม่เสียค่าเข้า การที่เรามีผิวเหลืองผมดำเดินทางท่องเที่ยวในเอเชียมันก็ดีตรงนี้นี่เอง ทำตัวกลมกลืนกับชาวบ้านได้อีก  รถพาผ่านทะเลสาบและพาเราไปทานข้าวที่ภัตตาคารจีน (อีกแล้ว)

 ถนนแคบลงเครื่องรถร้อน คนขับต้องหยุดจอดเป็นระยะๆ
 ถนนหนทางขึ้นดอยเหมยไม่มีที่กั้น การขับรถจะต้องชำนาญเส้นทางพอควร

เธอยังยิ้มได้ แม้หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล
ระหว่างรถเครื่องร้อนต้องราดน้ำเย็นก็แวะแชะภาพซักหน่อย

                ไกด์และคนขับรถพร้อมผู้ติดตามไปทานก๋วยเตี๋ยวพม่าร้านฝั่งตรงข้าม ปล่อยให้พวกเราทั้งสี่ทานอาหารจีนอยู่ที่ร้าน พนักงานหยิบเมนูมาให้ เอาอีกแล้วมีแต่ภาษาพม่า เราเลยต้องสั่งของเป็นภาษาอังกฤษอีก อาหารที่สั่งมีผัดผักรวม แกงจืดเต้าหู้ ปลาเผา ไข่เจียว ไก่ผัดพริก ระหว่างรอมื้ออาหาร ร้านเสิร์ฟขิงดองมาให้จิ้มพริกป่นเป็นของรียกน้ำย่อย รสชาติแปลกดี ไกด์เอากุ้งแผ่นทอดกับเต้าหู้ทอดมาให้เรากิน ด้วยความหิวเพราะนี่ตกไปบ่ายสองแล้ว พออาหารมามันเลยหมดอย่างรวดเร็ว ถึงแม้รสชาติจะสู้ร้านที่ทานที่หนองตุงไม่ได้ก็ตาม เราสั่งไวน์ผลไม้พื้นเมืองมากรึ๊บกันด้วย ไวน์ขวดละ50บาท เราซื้อมากินกัน4ขวด มีไวน์องุ่น ไวน์มะเกี๋ยง ไวน์สตรอเบอรี่ อีกขวดคล้ายกับน้ำสับปะรด  พวกเราดื่มกันพอเป็นพิธี เพื่อนสาวเราคนหนึ่งนึกคันอยากเคี้ยวหมากจึงให้สาวหล่อประจำร้านจัดแจงให้ชิมสองคำ เธอก็บรรจงห่อหมากให้หมากที่นี่เหมือนของไทยไม่มีผิดเพี้ยน ปรากฏว่าเพื่อนเราเคี้ยวเข้าไปคำแรกทำหน้าเบ้บอกอารมณ์ไม่ถูกเลย สงสัยคงจะโดนปูนกัดปากจนแสบน่ะ  จากนั้นเราก็เดินทัพต่อ

 ผลไม้ดองจิ้มพริกป่นที่ทางร้านนำเสนอมาให้พวกเราชิมฟรีเรียกน้ำย่อยไปพลางๆ
 ซุ้มขายผลไม้ดองและหมาก คนที่นี่ชอบเคี้ยวหมากกัน
 อาหารจีนมื้อนั้นประกอบด้วยปลาเผา ผัดผักรวม ไข่เจียว แกงจืด และไก่ผัดพริก และมีเต้าหู้ทอดด้วย
 ผลไม้ดองรสชาติออกเปรี้ยวนำ ไม่แน่ใจว่าเป็นลูกอะไร
 ไวน์ท้องถิ่นรสชาติธรรมดากินเพื่อเพิ่มอุณหภูมิในร่างกาย
 สาวสวยอยากชิมหมากสักคำจึงให้สาวหล่อจัดแจงเตรียมหมากให้
 ด้านสาวหล่อก็จัดแจงห่อหมากให้เต็มคำพอดี ทาปูนเรียบร้อย
แมวน้อยนอนบนโต๊ะน้ำชาของร้านขายชากาแฟ

ตอนหน้าอย่าลืมพบกับความงดงามของหมู่บ้านบนดอยเหมยและเรือนรับรองอันสุดหรู

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น