วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เที่ยวสิงคโปร์ในราคาประหยัด ตอนที่2 ลองนั่ง Airport Link เหยียบแผ่นดินกับอาหารมื้อแรก

ตั๋วเครื่องบินเราออกเวลา 9.40 น. เราควรจะไปถึงสนามบินก่อนประมาณ2ชั่วโมงเพื่อเช็คอิน แล้วเราจะไปสนามบินสุวรรณภูมิให้ทัน7.40น. ล่ะ เช้าและการจราจรในกรุงเทพฯทุกท่านก็ทราบกันดีอยู่ เราจัดกระเป๋าได้2ใบ ใบหนึ่งเป็นเป้ใส่กล้อง อีกใบเป็นกระเป๋าเสื้อผ้า เราทราบมาว่ารถไฟเชื่อมไปสนามบินสุวรรณภูมิ หรือที่เราเรียกกันว่า Airport Link ได้เปิดให้ทดลองใช้งานแล้วโดยในช่วงเช้าจะเปิดตั้งแต่7.00-10.00 น. เราเลยอยากลองนั่งดู เราลงรถไฟฟ้าที่สถานีพญาไทเดินเลี้ยวซ้ายเข้าสถานี Airport Link พญาไท รถเค้าออกทุกๆ15นาทีทุกเที่ยวให้บริการฟรีจนกว่าจะมีการเปิดอย่างเป็นทางการ ในเดือนสิงหาคมประมาณนั้น เราไปรับตั๋วฟรีที่เคาน์เตอร์ขายตั๋ว เดินผ่านช่องขึ้นบันไดเลื่อนไป  เรายืนรอรถไม่นานรถก็วิ่งมาหน้าตาขาวสะอาดสะอ้านประตูรถเปิดออก เราเดินเข้าไปเลือกที่นั่งแบบหันหน้าเข้าหากัน ประตูปิดเสียงดังสนั่นแถมยังเลื่อนปิดอย่างรวดเร็วด้วย เหมือนประตูรถเมล์เลย  จังหวะออกตัวกรชากแรงใช้ได้หลายคนตัวเอนเอียงต้องหาที่ยึดเหนี่ยว ภายในแอร์เย็นฉ่ำ ผู้ใช้บริการยังน้อยอยู่คงยังไม่ทราบกระมัง แต่ก็มีคนนั่งไปทำงานบ้างแล้ว
 ตั๋วฟรีที่เปิดให้บริการเพียงเดือนเดียวเท่านั้น
โฉมหน้ารถไฟฟ้า Airport Link


                รถไฟ Airport Link พาเราไปถึงสนามบินใกล้ๆ8โมง ใช้เวลาใกล้เคียงกับการนั่งแท็กซี่ไปแต่ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะ รถมุดดินลงไปสิ้นสุดที่ชั้นใต้ดินของนามบิน เราขึ้นชั้นบนไปที่เคาน์เตอร์เช็คอินของเจ็ทสตาร์ เจ้าหน้าที่เอาใบพริ้นท์เที่ยวบินของเราไปออกเป็นตั๋วแข็งให้ แล้วเราก็ผ่านการเช็คกระเป๋าเข้าสู่ภายในดิวตี้ฟรี  เราเดินดูของได้สักพักใหญ่ก็ไปนั่งรอที่ Gate เพราะมันได้เวลาที่เค้าจะเรียกขึ้นเครื่องแล้วสิ แลเห็นนกเหล็กของเจ็ทสตาร์ลำขนาดย่อมจอดเทียบงวงอยู่
เจ้านกยักษ์แห่ง JetStar จุผู้โดยสารประมาณ 200ท่าน
นิตยสารมีไว้ให้ผู้โดยสารอ่านระหว่างรอเครื่อง
            เครื่องออกล่าช้าจากเดิมกลายเป็นออก 10โมง พนักงานต้อนรับบนเครื่องมีความหลากหลายมาก มีทั้งเอเชี่ยนหน้าหมวย ไปจนถึงอินเดียนผิวแทน แต่ไม่ยักมีแหม่มสาวเป็นแอร์ ทั้งหมดเป็นคนเอเชียล้วนๆ แต่ก็ให้บริการอย่างเต็มที่ไม่แพ้กัน พวกเธอเลื่อนรถเข็นอาหารมาเสนอเพราะราคาตั๋วไม่รวมมื้ออาหาร เที่ยวบินนี้ใช้เวลาสองชั่วโมงเราอดไม่ได้ที่จะม่อยหลับไป จนเครื่องใกล้จะร่อนลงนั่นแหละเราจึงตื่นจากภวังค์มาอีกครั้ง เป็นคนหลับง่ายมันก็ดีเช่นนี้แล
                เจ้านกยักษ์จวนจะร่อนลงแตะรันเวย์ แลเห็นอาคารตึกระฟ้าอยู่เป็นกระจุกและม่านหมอกสีเทาลอยอยู่เหนือยอดตึกเหล่านั้น นี่มันหมอกหรือควัน หรือมลพิษที่เมืองใหญ่ๆพึงมีกันนี่ เหลียวไปอีกฝั่งของช่องแคบสิงคโปร์ซึ่งเป็นเมืองยะโฮร์บาห์รูของมาเลเซียนั้น แลเห็นแต่ป่าไม้และสวนปาล์มน้ำมันสลับกันไป มีพื้นที่สีเขียวอย่างชัดเจน เป็นความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเพียงแค่ข้ามแผ่นน้ำ
 บันไดเลื่อนที่สูงเท่ากับตึกสี่ชั้นของสนามบินที่ Terminal2
 บริเวณทางลงไปยังจุดเชื่อมต่อรถใต้ดิน MRT

                นกเหล็กร่อนลงจอดอย่างปลอดภัยที่สนามบินชางงี (Changi Airport) ผู้คนต่างแย่งกันลงจากเครื่องให้เร็วที่สุด ไม่เข้าใจจะรีบร้อนไปใย  พวกคุณก็ต้องไปเข้าแถวรอที่ตรวจคนเข้าเมืองอยู่ดี เราสะพายเป้เดินไปถึงช่องด่านตรวจคนเข้าเมือง บุคลิกของเจ้าหน้าที่ตม. เป็นสากลโลกคือจะเคร่งขรึมไร้อารมณ์ แต่ที่นี่ท่าทางจะขึงขังมากเป็นพิเศษ คอยตรวจตราสิ่งที่ผิดกฎหมาย เพราะที่นี่กฎหมายด้านยาเสพติดนั้นรุนแรงมาก หากขนสิ่งเสพติดเพียงนิดเดียวก็ถึงขั้นประหารชีวิตกันเลยทีเดียว  เราเดินออกจากด่านตรวจก็ตรงรี่ไปที่ Singapore Visitor Center อันเป็นแหล่งรวมข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวรวมไปถึงแผนที่เดินทาง เรารีบไปหยิบแผนที่รถไฟฟ้ามาทันทีด้วยแผนที่ที่เรานำไปเป็นแผนที่ปี2550 สมัยที่กำลังสร้างสาย Cicle Line ยังไม่เสร็จ แต่ปัจจุบันสร้างเสร็จหมดทุกสายเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายรอบแล้ว เราปรับนาฬิกาให้เร็วขึ้น 1ชั่วโมง ซึ่งเวลาท้องถิ่นตอนนี้คือบ่ายโมงครึ่งแล้ว เราต้องหาเสบียงใส่ท้องเสียหน่อย ครั้นจะออกไปทานนอกสนามบินก็ขี้เกียจหาร้านพาลจะโมโหหิวไปเสียก่อน  เรามาหยุดที่ร้านฟาสต์ฟู้ดขายอาหารพื้นถิ่นพวกก๋วยเตี๋ยว เราสั่ง Laksa อ่านว่า หลักซา มาทาน1ชาม ราคา $3.90 ราคาไม่แพงเกินไปเมื่อเทียบกับปริมาณอาหารที่เท่ากับก๋วยเตี๋ยวบ้านเราถึงสองชาม ไอ้เจ้าหลักซาหน้าตาคล้ายก๋วยเตี๋ยวแกงแบบแขกผิดกันตรงที่ว่าเค้าไม่ใส่เนื้อสัตว์ ใส่ไข่ต้มผ่าครึ่งกับเต้าหู้แทน น้ำแกงเป็นกะทิใช้พริกแกงแดงมีไอเผ็ดออกมาเล็กน้อย เราทานจนเกลี้ยงชามเติมพลังชีวิตไปได้ถึงดึกเลยทีเดียว
Laksa ก๋วยเตี๋ยวแกงประจำชาติชาวลอดช่อง เผ็ดร้อนด้วยเครื่องเทศ

ตอนต่อไปเราจะพาไปเช็คอินเข้าที่พักกันนะจ๊ะ

เที่ยวสิงคโปร์ในราคาประหยัด ตอนที่ 4 อ้อยอิ่งริมแม่น้ำสิงคโปร์

                เรารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนสี่โมงกว่า หลังจากที่หลับใหลลืมตื่น ไม่ได้สิเราต้องใช้เวลาที่มีอยู่ที่นี่ให้คุ้มค่าที่สุด ว่าแล้วก็รีบแต่งตัวโดยไม่ได้อาบน้ำช่างหัวมัน เดี๋ยวก็ต้องกลับมาอาบอยู่ดี เราสะพายเป้พร้อมกล้องออกจากที่พักเดินไปทางตลาดลิตเติ้ลอินเดียแวะชักภาพลับเลนส์ซักหน่อย เราเดินผ่านตลาดค้าทองคำ ทองรุปพรรณที่นี่จำหน่ายกันชิ้นใหญ่มากและออกแบบสไตล์อินเดีย ทองชิ้นจะโตแต่ข้างในตีโปร่งไม่ตัน บางร้านถึงกับมีลูกกรงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย คงมีไว้ป้องกันคนปล้นทอง เราเดินข้ามถนนมาที่สนามกีฬาแห่งหนึ่ง เห็นวัยรุ่นสิงคโปร์กำลังซ้อมเล่นจานร่อนกันอยู่ เห็นว่าซ้อมกันอย่างจริงจังเหมือนจะเอาไปแข่งขัน คงจะเป็นกีฬายอดฮิตของคนที่นี่มั้ง  โยนแต่ละทีก็เห็นว่าต้องวิ่งไปรับ บ้างก็กระโดดกันตัวลอยเลย
              เด็กมัธยมออกมาซ้อมกีฬาจานร่อนกันสนุกสนาน
  
             เราลงสถานีใต้ดินที่ Little India N7 เพื่อไปโผล่ที่สถานี Raffles City (ราฟเฟิลซิตี้) เพราะเราจะไปเดินดูบรรยากาศริมแม่น้ำสิงคโปร์กัน ซึ่งเราจะต้องไปเปลี่ยนรถที่สถานี Dhoby Gaut น่าจะอ่านว่าโดบี้โก๊ตนะ  สถานีนี้เป็นสถานีชุมทางที่สามารถต่อรถไปได้หลายที่  เราเดินออกไปเปลี่ยนรถเพื่อไปอีกสาย เย็นวันศุกร์ผู้คนคลาคล่ำเต็มสถานีเดินแทบจะชนกันเพราะมันมีจุดตัดมากมาย เราก็ไปขึ้นสายสีส้มจากเดิมเราขึ้นสายสีม่วง เพื่อไปยัง Raffles City เพื่อไปเดินดูตึกสูงเหมือนย่านสีลมบ้านเรา  เราโผล่ออกจากสถานีใต้ดิน เมื่อเดินขึ้นบันไดมาถึงชั้นบนสุดก็เดินคอตั้งเลย แหงนคอชมตึกระฟ้าเสียเมื่อยเลย ตึกที่นี่สร้างกันสูงมากและสร้างติดๆกันด้วย ประเทศนี้ปลอดภัยจากแผ่นดินไหวก็ดีตรงนี้  เราเดินชมตึกสูงไปเรื่อยๆ เวลาตอนนั้นประมาณห้าโมงเราเห็นหนุ่มสาวออฟฟิศเลิกงานเดินลงมาจากตึกส่วนใหญ่ใส่สูทแบบสากลถือกระเป๋าแบรนด์เนมแพงระยับเดินกันฉับๆ พวกเค้าคงจะรีบกลับบ้านหรือไปนั่งสังสรรค์กันต่อ
 ประติมากรรมเด็กกระโดดน้ำ
 ตึกสูงระฟ้าในย่านธุรกิจ
 นี่ก็อีกตึกหนึ่งที่มีความสูงมาก
              ประติมากรรมบอกเล่าเรื่องราวสมัยอดีตของที่นี่

              เราเดินทะลุตึกต่างๆ จนมาถึงริมแม่น้ำสิงคโปร์ พบเห็นอารมณ์ศิลปินถ่ายทอดผ่านประติมากรรมทองเหลืองตั้งโชว์ท้าสายลมและแสงแดดอยู่ริมแม่น้ำ ฝั่งตรงข้ามคือพิพิธภัณฑ์และอาคารรัฐสภา  เราเดินข้ามสะพานไปถึงพิพิธภัณฑ์ Asian Civilization Museum เท่าที่หาข้อมูลมาทราบว่าทุกวันศุกร์เวลา 18.00-21.00น. พิพิธภัณฑ์จะเปิดให้เข้าชมฟรีจากเดิมค่าเข้าชมประมาณ $15 เราก็รอเวลาทุ่มหนึ่งสิ ระหว่างนั้นเราก็เดินโต๋เต๋ชมความงามของปากแม่น้ำสิงคโปร์ เราเดินผ่านโรงแรมฟูลเลอร์ต้อน (The Fullerthon Hotel) โรงแรมระดับ6ดาว เห็นคนแน่นภัตตาคารฝรั่งที่ตั้งอยู่ใต้โรงแรม มีป้ายโฆษณาอาหารชุดคิดเป็นเงินต่อคอร์สประมาณ 60เหรียญขึ้นไป เราเดินลอดใต้สะพานเพื่อไปโผล่อีกฟากหนึ่งตรงลานสิงโตพอดี Merlion ใครถ้าไม่ได้มาถ่ายรูปกับเจ้าเมอร์ไลออนก็ถือว่ามาไม่ถึงสิงคโปร์นะ เดี๋ยวนี้มีเจ้าเมอร์ไลออนทั้งหมด3ตัวบนเกาะ ตัวที่เล็กที่สุดก็ตั้งอยู่ใกล้กับตัวที่พ่นน้ำลงทะเลนั่นแหละ แต่เจ้าตัวเล็กขนาดน่าเอ็นดูกว่าเยอะ ส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดอยู่บนเกาะเซนโตซ่าโน่น ตัวใหญ่จะไม่พ่นน้ำ  ทุกคนอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปกับเจ้าเมอร์ไลออนในอิริยาบถต่างๆ   ฝั่งตรงข้ามเราก็จะพบกับเจ้าตึกทรงหนามทุเรียนที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นโรงละครชื่อว่า  Esplanade  และอีกฝั่งตรงข้ามที่เป็นตึก3แท่งพร้อมเรือลำมหึมาลอยฟ้าอยู่บนดาดฟ้า นั่นคือโรงแรมหรูระดับ5ดาว Marina Baysand ราคาแพงระยับซึ่งเพิ่งจะสร้างเสร็จ และชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์คล้ายๆกับ London Eye สามารถขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ได้ทั่วปากแม่น้ำ แต่เห็นคิวรอหยาวเหยียดขนาดนั้นเราถอยดีกว่า
 ใต้สะพานใหญ่ข้ามปากอ่าวสิงคโปร์
 มุมที่ใครๆก็ชอบมาถ่ายรูปกัน
 ความงามของอาคารอีกฟากของแม่น้ำ
 โรงแรม Fullerthon โรงแรมระดับ6ดาว
                โครงสร้างสะพานแบบแขวนเก่าแก่ปัจจุบันไม่ให้รถวิ่งผ่านแล้ว
 ตึกทุเรียน Esplanade โรงละครริมอ่าว
 อาคารศาลฎีกาเก่าสมัยยุคโคโลเนียล
 รถสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกมีไว้ให้นั่งชมเมือง ลักษณะเป็นเรือลูกเป็ด ล่องแม่น้ำได้ด้วย
 อนุสรณ์การเสด็จเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ
 อนุสรณ์รูปช้างแห่งสยามนี้สร้างเป็นอนุสรณ์แด่รัชกาลที่5
 โรงแรมและคาสิโนลอยฟ้า Marina Bay Sand
 ความอลังการของเรือที่เป็นสระว่ายน้ำลอยฟ้าของโรงแรม
 สิงโตตัวใหญ่ที่มีคนไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกมากที่สุดจะพ่นน้ำลงอ่าว
 สิงโตตัวน้อยที่ถูกลืมจะพ่นน้ำลงสระของตัวเอง
 อดใจไม่ได้ขอถ่ายเองซักภาพ
 ชิงช้าสวรรค์ชมวิวเหนืออ่าว
 อาคารรัฐสภาเก่าถูกดัดแปลงเป็นแกลเลอรี่แสดงศิลปะ

                 ว่าแล้วก็ได้เวลาที่จะเข้าชมพิพิธภัณฑ์พอดี เราเลยเดินไปตามถนน ผ่านร้านบาร์มีคนรอคิวเพื่อหาโต๊ะว่างเต็มไปหมด อ้อคืนนี้เป็นคืนวันศุกร์นั่นเอง สาวน้อยสาวใหญ่ในชุดทำงานยืนรอโต๊ะว่างกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย  เราเดินไปถ่ายรูปอนุสาวรีย์ท่านเซอร์สแตมฟอร์ด ราฟเฟิล (Sir Stamford Raffles) ผู้สถาปนารัฐสิงคโปร์ เราเดินอยู่หน้าอาคารรัฐสภาแวะถ่ายรูปหน้าอาคารนิดหน่อยแล้วจึงตรงเข้าไปในอาคารพิพิธภัณฑ์  เจ้าหน้าที่ยิ้มให้การต้อนรับเป็นอย่างดีและบอกเราว่ารอบนี้เป็นรอบฟรี เราเดินศึกษาดูเค้าแบ่งเอเชียออกตามภูมิประเทศต่างๆ  แบ่งเป็นตะวันออก อาเซียน เอเชียใต้ และเอเชียตะวันตก เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตมีการนำสื่อมัลติมีเดียมาผสมผสานทำให้ไม่น่าเบื่อ ด้วยความที่ไม่น่าเบื่อทำให้เราเพลิดเพลินอยู่ในนั้นจนเจ้าหน้าที่เดินมาบอกว่าอีก5นาทีพิพิธภัณฑ์จะปิดแล้ว ยังเดินชมไม่ทันทั่วเราต้องเดินออกมาข้างนอก มืดค่ำแล้วใกล้สามทุ่มท้องเริ่มหิว แถวนั้นมีแต่ร้านแนวบาร์เหล้าและร้านกาแฟริมน้ำ เราอยากได้อะไรๆที่หนักท้องเรากลับไปทานอาหารอินเดียแถวที่พักดีกว่า แล้วเราก็เดินชมความงดงามของตึกอาคารริมปากอ่าวกับเมอร์ไลออนอีกครั้งก่อนอำลาเจ้าสิงโต มีคู่รักสวมชุดวิวาห์มาถ่ายรูปกันที่นี่เยอะมาก จากนั้นเราเดินลงรถใต้ดินกลับมาทานอาหารที่ลิตเติ้ลอินเดีย
 อนุสาวรีย์ท่านเซอร์สแตมฟอร์ด ราฟเฟิล ริมแม่น้ำ
 Sir Stamford Raffles บริเวณหน้าโรงละครวิคตอเรีย
 เล็กๆน้อยๆก่อนเข้าชมพิพิธภัณฑ์
 Asian Civilization Museum

 ภายในพิพิธภัณฑ์ในห้องอินเดีย
 วัตถุโบราณของเอเชียจัดแสดงให้ชมทั่วไป
 รูปสลักแบบโบราณ

สิงโตพ่นน้ำยามค่ำคืน
 ตึกสูงระฟ้ายามค่ำคืน
โรงละครและแสงสีริมปากอ่าวยามค่ำคืน
 โรงแรมหรูระดับ6ดาว
ความงดงามของแสงสีทำให้เราไม่ค่อยอยากจะลุกไปไหนเลย

                เราเลือกทานอาหารอินเดียแบบมังสวิรัติ ก็ด้วยราคาอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์นั้นแพงลิ่วไปถึงจานละ 300-400บาทโน่น เราเลือกทานชุดอาหารเป็นแกงผัก แกงถั่ว พร้อมด้วยจาปาตีและข้าวสวย คนอินเดียที่นี่แท้ๆจะเปิบข้าวด้วยมือ แต่เค้าเห็นเรานั่งหน้าเหลืองอยู่จึงแถมช้อนส้อมมาให้ด้วย จะสี่ทุ่มแล้วคนยังแน่นร้านอยู่เลย คนที่นี่เค้านอนดึกกันเนอะ  มิน่าเล่าเค้าถึงบอกว่าเมืองสิงคโปร์มิเคยหลับใหล เราให้เค้าคิดเงินออกมาจ่ายไป $6.80 ราคาก็ไม่แพงเกินไปหรอกสำหรับค่าครองชีพของเค้า เราเดินดูตลาดย่านลิตเติ้ลอินเดียสักพักก่อนที่จะกลับไปนอนที่พักแบบพุงกาง ตอนแรกตั้งใจจะไปเดินช้อปปิ้งต่อที่ห้างมุสตาฟา ห้างที่เปิดตลอด 24ชั่วโมง แต่ก็ต้องพับโครงการไปเพราะวันนี้เมื่อยขามาก อีกทั้งดึกแล้ว ถนนหนทางเดินไปค่อนข้างเปลี่ยว ถึงเจ้าของประเทศจะบอกเหอะว่าปลอดภัย แต่ถนนมืดแบบนั้นเราก็ยังไม่วางใจอยู่ดี แล้วเราก็เลยกลับไปนอนที่ห้องพักแบบหลับสบาย
ชุดอาหารอินเดียแบบมังสวิรัติ มีแกงกระเจี๊ยบ แกงผัก และซุปข้นถั่ว และที่ขาดไม่ได้เลยคือนมเปรี้ยว

ตอนหน้าตื่นมาเช้าวันใหม่เราจะพาเที่ยวไชน่าทาวน์และเซนโตซ่านะจ๊ะ

เที่ยวสิงคโปร์ในราคาประหยัด ตอนที่ 3 งามหน้าประเทศไทย กระฉ่อนไกลถึงสิงคโปร์

เราออกจากสนามบิน Terminal1 จะต้องไปต่อรถใต้ดินเพื่อเข้าเมืองที่ Terminal2 ระหว่างเทอร์มินัลมีรถไฟฟ้าบริการฟรีเชื่อมระหว่างสองสนามบินโดยรถจะมาทุกๆ 15 นาที มีนักท่องเที่ยวที่ต้องการประหยัดงบเหมือนเราเค้าก็จะมารอเช่นกัน ลองคิดดูหากนั่งแท็กซี่มิเตอร์เข้าไปใจกลางเมืองในตอนบ่ายวันศุกร์รถคงติดน่าดู  รถไฟฟ้าแล่นมาจอดมีตุ้โดยสารสั้นๆสองตู้ผู้โดยสารเต็มเลย ระยะห่างระหว่างเทอร์มินอลทั้งสองประมาณ500เมตร  พอถึงTerminal 2 เราเดินลงบันไดเลื่อนที่ยาวมากประมาณตึกสามชั้นเพื่อลงไปใต้ดิน เพื่อต่อรถ MRT เข้าเมือง มีตู้ให้หยอดเหรียญและช่องขายตั๋ว นี่คือสถานี Changi Airport  ความจริงเราสามารถซื้อตั๋วแบบเติมเงินได้ราคาตั๋วจะอยู่ที่ $15 และเติมเงินเรื่อยๆ ไม่ต้องไปหยอดตู้ เวลาต้องการโดยสารเพียงแค่เอาบัตรแปะประตูคล้ายกับบ้านเรา แต่มูลค่าบัตรแพงเหมาะกับคนที่เดินทางเยอะๆในสิงคโปร์เป็นเวลา5วัน7วันขึ้นไป ไม่คุ้มค่ากับทัวร์กระจอกอย่างเราที่ไปแค่3วัน เราเลยไปหยอดตู้ขายตั๋วโดยสาร ซึ่งสถานีปลายทางที่เราจะไปลงคือ Bugis Station เป็นย่านที่อยู่ใกล้ๆกับ Little India ใกล้โรงแรมที่เราจะพักโดยที่ไม่ต้องต่อรถอีก ค่ารถโดยสารเข้าเมือง $2.90 รวมตั๋วบัตรแข็ง หากไปถึงปลายทางแล้วสามารถ refund โดยการเอาตั๋วไปเสียบช่องคืนตั๋วก็จะได้เงินคืนมา $1 จะเห็นได้ว่าค่าโดยสารตั๋วรถไฟฟ้าที่นี่ถูกมาก เพราะที่นี่เค้าเน้นให้ประชาชนใช้ระบบขนส่งมวลชนมากกว่าใช้รถยนต์ส่วนตัวไงล่ะ ภาษีนำเข้ารถยนต์ถึงได้แพงมาก เข้าใจว่าหากเราต้องซื้อรถยนต์ในราคา5แสนบาทในราคาบ้านเรา ไปที่นั่นอาจต้องจ่ายเงินถึงล้านห้าทำนองนั้น
 บริเวณสถานีจุดต่อรถ Taneh Merah
ลักษณะตั๋วMRT Single Trip ถ้านำไปหยอดคืนที่ตู้หลังเดินทางแล้วเราจะได้รับ $1
แผนที่แสดงเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีต่างๆพร้อมจุดเชื่อมต่อ

รถไฟฟ้าวิ่งมาส่งจากสนามบินถึงแค่สถานี Taneh Merah น่าจะอ่านทาเนเมร่าห์ จากนั้นรถจะวิ่งเป็นวงกลมกลับไปที่สนามบิน ทุกคนต้องลงเพื่อต่อรถสายเข้าเมือง ระหว่างทางผ่านสถานี EXPO มีกลุ่มอาคารใหญ่ๆหลายหลัง เหมือนอาคารไบเทคบ้านเรา ทราบมาภายหลังว่านี่คือสถานที่จัดงานแสดงสินค้าต่างๆ อ้อ เข้าใจแระ  พอรถไฟฟ้าเข้าเมืองแวะจอด โอ้แม่เจ้ามันแน่นมาก ผู้คนเต็มไปหมดทั้งนักท่องเที่ยวจากสนามบิน และคนเมือง รถของเค้ามีตู้โดยสาร5ตู้ บ้านเรามีแค่3ตู้ ควรจะเพิ่มตู้เป็น5ตู้ด่วน บ้านเราว่าเป็นปลากระป๋องแล้วบ้านเค้าอัดแน่นยิ่งกว่า รถไฟฟ้าใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็แล่นถึงสถานี Bugis น่าจะอ่านว่าบูกิส ระหว่างทางเราผ่านย่านที่พักอาศัยที่เป็นคอนโดและอพาร์ทเม้นท์มากมาย ทุกที่ใต้ตึกจะมีสนามบาส สนามเทนนิสและที่ออกกำลังกาย เป็นการจัดสรรพื้นที่ได้อย่างลงตัว เราโผล่มาจากใต้ดินอากาศร้อนมากแดดเปรี้ยงเลย ร้อนได้อีกเรากางแผนที่ชี้เป้าหมายคือโรงแรมอินคราวน์ที่เราจะไปพัก เราเดินตามทางแผนที่ไปเรื่อยๆ ผ่านร้านรวงและห้างต่างๆข้างทาง ผ่านห้าง Sim Lim Tower หรือเรียกว่าห้างซิมลิม ซึ่งห้างนี้จะขายพวกอุปกรณ์ไฟฟ้าและพวกคอมพิวเตอร์ แต่แวะเข้าไปดูราคาแล้วราคาใกล้เคียงกับบ้านเราเลย แถมปลั๊กไฟเป็นแบบสามขาอีกต่างหาก เราเลยขอผ่าน ระยะทางเพียง800เมตรจากสถานีถึงที่พักทำให้เหงื่อเราไหลอย่างกับท่อประปาแตก ถ้าถึงที่พักคงจะต้องอาบน้ำทันที
สถานีบูกิส (Bugis) เป็นสถานีที่แม้อยู่ไม่ใกล้ที่พักแต่ก็ไม่ต้องต่อรถให้วุ่นวาย
 จากถนนแลเห็นอาคาร Suntec อยู่ไกลๆ
 อพาร์ทเม้นท์และคอนโดเป็นที่อยู่อาศัยหลักๆของชาวสิงคโปร์
 มัสยิดแห่งนี้อยู่ใกล้โรงแรมที่พักของเรา และเห็นอาคาร Sim Limศูนย์จำหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
อาคารบริเวณสถานีรถไฟฟ้า Little India

และแล้วเราก็หาเจอ The Inncrowd Hostel เป็นตึกแถวสามชั้นกว้างแค่สองคูหา บรรยากาศภายนอกดูคับแคบแต่พอเปิดเข้าไปก็เห็นว่าตกแต่งได้น่ารักพอใช้ เจ้าของเป็นหญิงวัยกลางคนถามชื่อเราก่อนเลยว่าจองมาหรือไม่ เพราะเค้าหาในลิสต์ที่จองไม่เจอ จนเราต้องยืนยันหลักฐานการจองในอีเมลที่เปิดจากสมาร์ทโฟน ไม่เช่นนั้นเราคงอดพักแน่ๆ เพราะเธอเล่นบอกว่าเต็มตั้งแต่เราก้าวเดินเข้ามา พอเธอเห็นอีเมลก็เลยพยักหน้าโอเค และถามต่อว่าจะพักกี่คืน เราบอกว่าแค่สองคืน เพราะคืนสุดท้ายเราจะไปนอนที่สนามบินเพราะขี้เกียจตื่นเช้ามืด 555 เธอบอกให้พนักงานเอาผ้าปูที่นอนหอบไปให้ เราได้ที่พักที่ตึกอีกฝั่งหนึ่งไม่ใช่ตึกนี้ เลยให้พนักงานอาหมวยนำทางไป  สิทธิ์ที่เราได้รับจากการพักที่นี่คือ ฟรีอาหารเช้าแบบง่ายๆที่เขาเตรียมให้ สามารถแช่อาหารในตู้เย็นที่ห้องครัวได้ ฟรีอินเตอร์เน็ตไวไฟ ฟรีล็อกเกอร์เก็บทรัพย์สินพร้อมค่ามัดจำกุญแจกับคีย์การ์ดอีก $10 ระหว่างทางเด็กสาวก็ชวนเราคุยถามว่ามาจากไหน เราบอกมาจากเมืองไทย น้ำเสียงคุณเธอตื่นเต้นมากและทำหน้าจริงจัง คุณมาจากบางกอกใช่ไหม พอเราตอบว่าใช่ เธอบอกอะเมซซิ่ง เมืองแห่งม็อบสีแดงและสีเหลือง ตรูว่าแล้วชื่อเสียงประเทศชาติของเราดังได้อีก เธอถามถึงอดีตนายกด้วย แต่สำเนียงการออกเสียงของเธอคือ ตั๊กสิ้น ตั๊กสิ้น ได้ยืนแล้วก็ขำ อย่ามาออกเสียงแบบนี้ในประเทศของเรานะ เดี๋ยวบางคนได้ยินแล้วควันออกหู ประเด็นเผาเมืองกลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ เธอบอกว่าเธอดูในเว็บไซต์แล้วอยากมาเที่ยวกระบี่กับภูเก็ต เธออยากมาอาบแดด แต่เธอจะไม่มากรุงเทพฯเพราะเธอกลัวข่าวที่ถูกนำเสนอแก่สายตาชาวโลก ในสายตาของชาวต่างชาติเหตุการณ์ครั้งนั้นคงเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากๆ แต่สำหรับเราการที่เธอสนใจการบ้านการเมืองของเรานั้นเป็นความชาญฉลาดของเจ้าบ้านที่ดีที่มีหูตากว้างไกลรับรู้ข่าวสารและสามารถสร้างบทสนทนากับแขกผู้มาเยือนได้อย่างแยบยล ถึงมันจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าจดจำของเราคนไทยก็ตาม
 The Inncrowd Hostel Lobby
ตึกนอนจะแยกออกมาอีกตึกนึงซึ่งอยู่บริเวณใกล้ๆกัน

เธอนำเราขึ้นมาบนชั้นสองที่เป็นห้องนอนรวมแบบดอร์ม มีเตียงทั้งหมด18เตียง เป็นเตียงสองชั้น เตียงไหนมีคนพักแล้วก็จะติดแท็กป้ายชื่อไว้  เธอติดป้ายชื่อของเราที่เตียง เรานอนเตียงเดี่ยวมุมสุดท้ายของห้อง เธอบอกโอเคชั้นส่งคุณแค่นี้นะ คุณปูที่นอนได้เลย เที่ยวให้สนุกนะคะ ที่นี่แขกที่มาพักจะต้องปูที่นอนเอง และวันกลับต้องดึงปลอกหมอนกับผ้าปูที่นอนไปคืนที่ล็อบบี้ด้วย มองเวลาบ่ายสาม ข้างนอกร้อนมาก เราขอนอนซักงับก่อนแล้วกันแล้วค่อยออกไปตะลุยกันต่อ


ตอนต่อไปเราจะตื่นขึ้นมาใหม่แล้วพาไปชมความศิวิไลซ์ริมน้ำสิงคโปร์นะจ๊ะ