วันนี้เราตื่นแต่เช้า เราชวนเจ้าจอห์นมาทานข้าวเช้าที่โรงแรมด้วย เราสั่งข้าวหมูทอดไข่ดาวเหมือนเดิม เค้าก็สั่งตาม พอตักเข้าปาก เค้ายังชมเลยว่าที่นี่ทำหมูทอดอร่อยพูดพลางเดินไปหยิบโถพริกแห้งมากินเป็นกับแกล้ม เรานั่งมองตาปริบๆ ไม่กล้าทานพริกตอนเช้า ยิ่งวันนี้เดินทางไกลด้วย ชาวปินอยโต๊ะอื่นๆที่มาพักที่นี่ต่างก็มองโต๊ะเรา ไอ้บ้าที่ไหนนั่งกินพริกแห้งจนแถมจะหมดขวดโหลเนี่ย พวกมันต้องไม่ใช่ชาวปินอยแน่ๆ
พอท้องอิ่มแล้วพวกเราก็เดินทางต่อ คนเดียวหัวหายสองคนเพื่อนตายใช้ด้วยกันได้เสมอ เราพากันเดินข้ามถนน Roxas เพื่อไปรอโบกรถเมล์ฝั่งตรงข้ามที่จะนั่งไปเมืองตะไกไต ซึ่งแม่บ้านบอกว่าไปยืนรอได้เลยรถมันจะวิ่งผ่านเรื่อยๆ ขากลับก็ลงที่เดิมนะอย่าลืม เราสองคนยืนรอรถประเดี๋ยวเดียวก็เห็นรถบัสคันหนึ่งหน้าป้ายเขียนว่า Tagay tay – Nasugbu เออคันนี้มันต้องไปแน่ๆ เราพยักหน้ากันแล้วตัดสินใจโบกรถให้จอดทันที พอเดินขึ้นรถไป กระเป๋ารถก็มาเก็บสตางค์ถามพวกเราว่าไปไหน เราตอบว่า ตะไกไต คนละ 77เปโซ เท่านั้น ดีจังเราได้นั่งรถปรับอากาศแอร์เย็นฉ่ำในราคาเพียงเท่านี้ รถสภาพไม่เก่าด้วยไม่มีกลิ่นอับจากแอร์ กระเป๋ารถบอกว่าอีกประมาณ1ชั่วโมงก็ถึงตะไกไต มันห่างจากตัวเมืองมะนิลาลงไปทางใต้ประมาณ60กว่าโล
Jeepney คันนี้วิ่งออกนอกเมือง
ด่านเก็บค่าผ่านทางคล้ายมอเตอร์เวย์
ร้านอาหารแบบฟาสต์ฟู้ดมีให้เห็นทั่วไปตามชนบท
รถแล่นผ่านย่านคนรวยแถบ เบย์วิว (Bayview) คนพื้นเมืองอ่านออกเสียงว่า “บีย์วิว” แลเห็นบ้านคนมีอันจะกินเต็มไปหมด ละผ่านโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่งในย่านนี้ ด้วยว่าถนนแถบนี้อยู่ติดทะเล รถวิ่งเข้าด่านเก็บค่าผ่านทางคล้ายมอเตอร์เวย์เลียบชายฝั่ง จากนั้นรถก็วิ่งฉิวผ่านดงสลัมน้ำครำที่ปลูกติดกับทางหลวงทั้งสองฝั่ง ดูแล้วน่าจะเป็นเขตสลัมที่ใหญ่ที่สุดในโลกนะ เพราะมันกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตาเลยล่ะ ใหญ่กว่าย่านคลองเตยเป็นร้อยเท่า สักพักรถก็ออกเข้าสู่ทางชนบทซึ่งไม่ถึงกับเป็นทุ่งนาป่าเขา แต่ก็พอมีบ้านคนและร้านค้าตลอดทาง เพื่อนเรานั่งหลับเสียแล้ว เวลารถจอดตามสถานที่ใหญ่ๆก็มักจะมีคนเดินขึ้นรถมาเร่ขายของเหมือนบ้านเราเลย มีทั้งถั่วอบกรอบชนิดต่างๆ ขนมแป้งทอด น้ำผลไม้และพายมะพร้าวอันขึ้นชื่อ ไม่ถึงสองชั่วโมงกระเป๋ารถก็เดินมาบอกว่าจะถึงตะไกไตแล้ว เราก็เตรียมตัวลงที่นี่ เราถามเพื่อนว่าถ้านั่งต่อไปสุดสาย Nasugbu ล่ะมีอะไร (คนที่นั่นอ่านออกเสียงว่า นาซุญบู ) เค้าบอกว่าเป็นเมืองชายหาดตากอากาศแต่ทะเลไม่ค่อยสวย ทรายเป็นสีน้ำตาลเข็มไม่ขาว ถ้าจะให้ขาวสวยต้องไปเซบูกับโบฮอล เท่านั้น พอลงจากรถลมพัดมาเย็นหวิว เรารู้ตัวทันทีว่านี่เราคงอยู่บนที่สูงแล้ว อากาศเย็นผิดกับแสงแดดที่แผดจ้า ถ้าเป็นในเมืองคงร้อนตับแลบไปแล้ว ก็ด้วยเมืองตะไกไตซิตี้แห่งนี้ เป็นเมืองที่อยู่บนเนินเขาน่ะสิ อากาศจึงเย็นสบายตลอดปี ว่าแล้วขอตุนเสบียงซักหน่อย เราพากันเดินเข้าไปยังร้านจอลลี่บี ฟ้าสต์ฟู้ดชื่อดังเพื่อซื้อฮอทด็อกและไก่ทอดไปเป็นเสบียงกินระหว่างขึ้นภูเขาไฟ ในเมืองตะไกไตนั้นมีของซื้อของฝากชื่อดังอยู่อย่างนึ่งนั่นคือ พายมะพร้าวหรือ Buko Pie นั่นเอง สนนราคากล่องละ100เปโซ มีขายอยู่ในเมืองนี้ทั่วไป
ถนนที่นี่เป็นเนินลาดลงไป โปรดสังเกตร้านขายพายมะพร้าว (Buko Pie)
Jollibee ฟาสต์ฟู้ดที่พึ่งยามยาก สาขานี้ใหญ่ขนาดขับรถผ่านเข้าไปจอดซื้อได้เลย
พาหนะที่คุ้นเคยของคนท้องถิ่นมีทุกที่
พวกเราคอยโบกรถเพื่อไปยังทะเลสาบ แต่ไม่มีรถจี๊พนี่ย์คันใดลงไปเลย พอถามมากๆเข้า เค้าแนะนำให้ไปเหมารถสามล้อเครื่องพ่วง เหมาเลยเหรอ สงสัยทริปนี้มีแววบานปลายแน่ๆ ถูกต้องแล้วเพราะไม่มีรถจี๊ปคันใดลงไปส่งลึกในหุบเขากว่า16กิโลเมตรแน่ เค้าวิ่งตามหมู่บ้านข้างบนย่อมคุ้มค่ากว่า พวกเราเลยต้องไปเหมารถที่คิวรถ เจ้าหนึ่งเสนอเราขาลงไปนี่แค่150 เปโซ กับระยะทางลงเขาอย่างเดียว16กิโลเมตร เพื่อลงไปยังท่าเรือที่ Talisay อ่านว่า “ตาลิซาย” พวกเราตอบตกลงทันที เจ้ารถมอเตอร์ไซต์พ่วงข้างนั่งเพียงสองคนก็เต็มรถพาออกนอกเมืองไต่ลงเขาลงไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางที่คดเคี้ยวและลาดชัน ระหว่างทางเค้าหยุดรถตามจุดชมวิวให้เราได้ชมความงามของภูเขาไฟและทะเลสาบเป็นระยะๆ เพื่อนเราเริ่มบ่นเจ็บก้นเพราะรถซิ่งมากและวิ่งกระแทกเหลือเกิน ดีนะที่เป็นขาลงวิ่งแผลบเดียวก็ถึงบ้านลักษณะคล้ายรีสอร์ท เราสองคนมองหน้ากันทันที พ่อโชเฟอร์ส่งหมูในอวยมาให้เชือดอีกแล้ว
ทะเลสาบตาอัลรายรอบภูเขาไฟตาอัลที่อยู่บนเกาะตรงกลางนั่นแหละ
ทิวทัศน์ของทะเลสาบ และภูเขาไฟที่ดับไปแล้วเป็นปล่องชัดเจนเลย
พอรถจอดปั๊บ เจ้าหน้าที่รีสอร์ทรีบเดินเข้ามาต้อนรับและเสนอแพ็คเกจข้ามเรือขึ้นภูเขาไฟมาทันที เค้าเสนอราคาแพ็กเกจค่าเรือรวมค่าขี่ม้าไม่รวมค่าไกด์นำทางรวมกันอยู่ที่ 3500เปโซ เอาแล้วสิ เอาแล้วไง พวกเราร้องอู้หู ทำไมมันแพงยังงี้ล่ะครับนายท่าน เรารีบบ่นเลยเราไม่ใช่เกาหลีหรือฮ่องกงนะ เงินไม่หนาฟูขนาดนั้นหรอก เจ้าหน้าที่เจ้าเล่ห์เริ่มลดราคาให้เหลือ3000 เราก็ไม่เอา ยืนกรานจะนั่งรถคันเดิมขึ้นไปทันทีเลย พอเราเดินผละออกมา เค้าเลยบอกว่า2500 ไหวมั้ยนายท่าน เราบอกถ้าเหลือแค่2000 จ่ายแค่คนละพันก็ดีนะ ตาคนนั้นชักสีหน้าทันทีเลย เพื่อนบอกโอเคครับ2500 ยังพอสู้ได้อยู่ แต่ไม่เอาขี่ม้านะ เพราะกลัวม้ามากๆ
พอตอบตกลง เด็กขับเรือก็พาไปลงเรือทันที อ้าวไม่ต้องรอผู้โดยสารมาเพิ่มเหรอ เค้าบอกราคานี้เป็นราคาเช่าเหมาลำครับ นึกแล้วเชียวนี่แหละข้อเสียของการมาเที่ยวกันจำนวนน้อย เพราะไม่มีคนช่วยหารตอนเหมารถเหมาเรือกับค่าห้องนี่แหละ แต่ข้อดีคือความเป็นอิสระและเป็นส่วนตัว คิดดูสิเรือทั้งลำมีคนแค่สามคนเอง เรือที่นี่จะมีทุ่นพยุงด้านข้างเพื่อป้องกันเรือล่ม ดังนั้นเรือจึงซิ่งได้เต็มที่เลย รีสอร์ทที่นี่เป็นรีสอร์ทขนาดเล็กๆ มีที่นั่งกินข้าวกลางแจ้งซึ่งรวมในค่าบริการแล้ว เราไม่กินแต่ว่าจะไปกินบนเรือรองท้องไปก่อน เรือจอดอยู่โดยผูกไว้กับทุ่นไม้ไผ่ ทะเลสาบน้ำสะอาดแต่เขียวไปด้วยสาหร่ายเชียว เจ้าคนขับเรืออธิบายว่า ที่นี่อุดมสมบูรณ์มากมีปลาทุกชนิดอาศัยอยู่ และขนาดตัวค่อนข้างใหญ่ บางหมู่บ้านก็เลี้ยงปลาในกระชังสร้างรายได้เพิ่มเติม ประเทศฟิลิปปินส์นี่อาหารการกินเค้าอุดมสมบูรณ์ดีจัง
เรือโดยสารแบบมีกาบกันล่มซิ่งได้อย่างใจ
ลีลาแอ็คท่าของคนขับเรือ
ในทะเลสาบตาอัลยังมีภูเขาไฟที่ยังไม่สงบอีกหลายลูก
ชายฝั่งบนเกาะภูเขาไฟตาอัลมีหมู่บ้านคนตั้งอยู่มากมาย
ตอนต่อไปคนบ้าพลังจะพาเดินเท้า Trekking ขึ้นภูเขาไฟ Taal Volcano กันนะครับ