นาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่มของคืนวันพุธ ได้เวลาที่เราจะต้องออกเดินทางแล้วสินะ เราจะหลีกหนีความยุ่งยากวุ่นวายของเมืองหลวงกรุงเทพฯ ไปสู่เมืองที่วุ่นวายยุ่งเหยิงยิ่งกว่าแล้วมันจะถือว่าเป็นการพักผ่อนเช่นนั้นหรือ แต่ไม่เป็นไรคิดเสียว่าเป็นการผจญภัย เรานั่งแท็กซี่ออกจากบ้านให้มาส่งที่สถานีพญาไท เพื่อที่เราจะได้นั่งรถไฟแอร์พอร์ตลิงค์ไปสุวรรณภูมิ คราวนี้เป็นการนั่งแบบเสียเงินแล้ว 40บาทเอง ไม่ใช่การทดลองนั่งฟรีแบบตอนที่ไปสิงคโปร์ ขนาดตอนดึกแล้วยังมีผู้โดยสารเต็มคันรถเลย ทุกคนต่างมุ่งไปสนามบิน มีส่วนน้อยที่นั่งกลับบ้านตามรายทาง ประมาณห้าทุ่มกว่าเราก็ถึงสนามบินแล้ว เราจัดกระเป๋าไปสองใบโดยมีใบคลอดลูกพับซ่อนอยู่ภายในใบนึง โดยเราไม่ลืมที่จะนำขนมไปฝากเพื่อนเราที่อยู่ที่โน่นด้วย เราเช็คอินที่เคาน์เตอร์เซบูแปซิฟิค แล้วผ่านเข้าไปด้านใน เที่ยวบินดึกแบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นยุโรปที่เราเห็นคนไทยจูงลูกหลานมากมาย บินไปเที่ยวกันในช่วงปิดเทอม แต่พอเป็นฟิลิปปินส์นี่ก็เห็นคนที่ไม่แน่ใจว่าใช่คนไทยมั้ย เพราะหน้าตาและบุคลิกเหมือนกันเลย
น้ำดื่มข้างในราคาแพงหูฉี่
ประติมากรรมการกวนกระเษียรสมุทรที่ใครๆก็อดไม่ได้ที่จะหยุดชม
ดึกแล้วผู้คนก็ยังเนืองแน่นสนามบินสุวรรณภูมิ
จนกระทั่งได้เวลาที่เค้าประกาศเรียกผู้โดยสารเที่ยวบินกรุงเทพ-มะนิลา ขอเรียนเชิญเข้าเกทตอนเที่ยงคืนกว่าๆ เราถึงได้เห็นคนจำนวนมากบนเที่ยวบินลำนี้ หน้าตาเหมือนคนไทยทุกกระเบียดนิ้ว เพียงแต่ว่าผิวไม่ค่อยขาว และบางคนหน้าตาดูคมขำกว่าคนไทยทั่วไปเท่านั้น แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงคือภาษาพูด พวกเค้าพูดภาษาตากาล็อกกันเองอย่างรัวและรวดเร็วด้วย น่ากลัวจะมีเราคนไทยคนเดียวบนเที่ยวบินสายนี้ แต่ละคนหอบของเครื่องใช้ไฟฟ้าจากเมืองไทยกลับประเทศตัวเอง บ้างหอบกระเป๋าเสื้อผ้าไปมากมาย ดูจากลักษณะแล้วไม่ใช่นักท่องเที่ยว แต่เหมือนคนฟิลิปปินส์ที่มาปักหลักทำงานในเมืองไทยแล้วซื้อตั๋วโปรโมชั่นเพื่อกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดมากกว่า
หนุ่มสาวกว่าร้อยละ90ของเที่ยวบินนี้เป็นชาวปินอยที่เดินทางกลับบ้าน
ทางลงไปเพื่อขึ้นเครื่องของเที่ยวบินกรุงเทพฯ-มะนิลา
เวลาตีหนึ่งกว่าก็ได้เวลานกเหล็กทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เราแอบลุ้นว่าเที่ยวบินนี้จะมีการโชว์เต้นประกอบการสาธิตวิธีการใช้อุปกรณ์บนเครื่องแบบที่มีคนปล่อยคลิปแพร่กระจายในยูทูปรึเปล่า แต่แล้วเราก็ต้องผิดหวัง เมื่อทีมแอร์โฮสเตทและสจ๊วตไม่ยอมเต้นกัน พอถามเค้าตอบว่ามีเต้นเฉพาะเส้นทางบินในประเทศเท่านั้น ทำเพื่อโปรโมทสายการบินตัวเอง ระหว่างการบินเหล่านางฟ้าทั้งหลายก็พยายามที่จะขนของที่ระลึกอาทิเสื้อ ตุ๊กตา ของสายการบินมาขายเป็นที่ระลึก หลายคนควักตังค์ซื้อด้วยว่าราคาสินค้าไม่แพงเลย และมีการนำเสนอสินค้าได้น่ารักดี ด้วยความสวยน่ารักของทีมงานนางฟ้าด้วยแหละ ระหว่างนั้นก็ไดเมีการแจก Arrival Card บัตรขาเข้าเพื่อให้ผู้โดยสารกรอกตอนเข้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง การกรอกก็ไม่ยากสำหรับชาวต่างชาติจะต้องกรอกมากกว่าชาวฟิลิปปินส์หน่อยนึง นกเหล็กใช้เวลาบินประมาณ3ชั่วโมง ก็แตะพื้นสนามบินนานาชาติมะนิลา หรืออีกชื่อที่ใช้กันคือ Ninoy Aquino International Airport (NAIA) ซึ่งมีทั้งหมด 3 terminal เที่ยวบินของเราแตะTerminal ที่3 อันเป็นหลุมจอดของเหล่าสายการบินต้นทุนต่ำ เวลาใกล้ตีห้า เราต้องไม่ลืมที่จะปรับเวลามาตรฐานให้เร็วกว่าเดิม 1ชั่วโมง ด้วยว่าฟิลิปปินส์เวลาเร็วกว่าไทย1ชั่วโมง มองจากน่านฟ้าเห็นแสงไฟสว่างไสวทั่วกรุงมะนิลา นี่คงเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับแน่ๆ แล้วนกเหล็กก็ร่อนลงจอดอย่างปลอดภัย
บัตรขาเข้าจะต้องกรอกรายละเอียดให้ครบสำหรับชาวต่างชาติ
เที่ยวบินนี้คนนั่งไม่เต็มลำ สงสัยจะดึกเกินไป
สนามบินเงียบสงัด เราเดินสะพายกระเป๋าไปที่ตรวจคนเข้าเมือง มีช่อง3ช่อง ช่องแรกสำหรับคนฟิลิปปินส์คนแน่นขนัด ช่องที่สองสำหรับ Overseas Workers เป็นช่องพิเศษสำหรับแรงงานฟิลิปปินส์ที่ไปทำงานต่างประเทศ ช่องสุดท้ายสำหรับชาวต่างชาติมีคนต่อแถวแค่สามคนเป็นฝรั่งที่แต่งงานกับสาวฟิลิปปินส์ และเราเท่านั้น แสดงว่าคนไทยไปเที่ยวฟิลิปปินส์น้อยมาก ทั้งลำขาไปมีเราคนเดียวเลยหรือนี่? เจ้าหน้าที่ตม. ถามเราว่าคุณพักอยู่แถวไหนในมะนิลา เราตอบไปว่า ปารานาก (Paranaque ) เค้าไม่เข้าใจขอให้เราสะกดให้เค้าดูหน่อย พอเราเขียนไปเท่านั้นแหละ เธอบอกว่า “ปารานันย่า” เราก็ถึงบางอ้อว่าเค้าอ่านออกเสียงกันแบบนี้ แบบสไตล์สเปนนั่นเอง
ด้านนอกสนามบินยังมืดอยู่ เราไปขอแผนที่มะนิลาที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว แต่เค้ากลับไม่มีให้บอกว่าหมดแล้ว แล้วจะส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศได้อย่างไร เวลาตีห้ากว่าๆ เราจะต้องรอจนกว่าฟ้าจะสว่าง ตอนนี้ยังไม่กล้าออกไปไหนนึกถึงความปลอดภัยของตัวเองต้องมาก่อน เลยไปนั่งรอแถวร้านกาแฟ ที่พักของเราที่เพื่อนเราแนะนำให้อยู่ไม่ไกลจากสนามบินสักเท่าไหร่ ไม่ต้องจองเข้าพักได้เลย มีชื่อว่า Manila International Youth Hostel (MIYH) www.manilayouthhostel.com/ ดูจากแผนที่แล้วอยู่ไม่ไกลจริงด้วย พอฟ้าเริ่มสางเรารวบรวมความกล้าหยิบกล้องถ่ายรูปออกจากกระเป๋าจะไปถ่ายหน้าสนามบิน ถึงจะมีคนเตือนเรื่องระวังฉกกล้องก็ตาม เอาเหอะน่าคงไม่มีโจรหน้าไหนอุกอาจจี้ชิงทรัพย์คาสนามบินหรอก แล้วเราก็ไปยืนถ่ายป้ายหน้าสนามบินและโบสถ์ที่อยู่ตรงข้ามกับสนามบิน รถราเริ่มวิ่งกันเยอะการขับรถที่นี่เขาจะขับชิดขวากันเนื่องจากเป็นรถพวงมาลัยซ้ายดังนั้นเราคนไทยก่อนข้ามถนนจงตั้งสติให้ดีเสียก่อนที่จะข้ามทุกครั้ง มิฉะนั้นอาจโดนรถปินอยเสยเอาได้นะจ๊ะ เราขึ้นแท็กซี่ที่สนามบินตรงจุดขึ้น เราบอกจุดหมายคือโรงแรมที่พักของเรา อยู่ที่ถนนแถวนี้ เค้าอ้างว่ามิเตอร์เสีย มุกแบบนี้มาอีกแล้วเห็นนักท่องเที่ยวเป็นหมูในอวย เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสากลโลกกับความไม่ซื่อสัตย์ของเหล่ารถรับจ้างที่กะจะฟันนักท่องเที่ยวเพียงครั้งเดียว
โฆษณาแบรนด์น้ำแข็งใสหน้าสนามบิน
สนามบินนินอย อะคีโน่ อยู่ใจกลางเมืองมะนิลา(คล้ายดอนเมือง)
โบสถ์ขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านตรงข้ามสนามบิน
เค้าอยากได้ในราคา120เปโซ ก็คงราว80บาท เราไม่มีทางเลือกเพราะมีคนรอต่อคิวขึ้นแท็กซี่อีกยาว รถใช้เวลาเพียง15นาทีก็ถึงที่พัก แต่ระหว่างทางก่อนถึงนี่มันน่าอัศจรรย์มากๆ พอพ้นเขตรั้วสนามบินปุ๊บก็เจอแหล่งเสื่อมโทรมที่เรียกว่าสลัมมากมายไปหมด เริ่มมีคนเดินถนนเตรียมออกไปทำงานแต่เช้า คนจรนอนกันเกลื่อนทางเท้า มีคลองน้ำครำ และมีเพิงพักปลูกติดกันแน่นไปหมด จนรถผ่านเข้าซอย Thomas Claudio เท่านั้นแหละ เห็นคนไร้บ้านนอนเกลื่อนถนนเลย แต่ละคนเนื้อตัวมอมแมมผอมเกร็งนอนหลับสนิท แบบนี้เราจะกล้าเดินออกมาจากที่พักมั้ยเนี่ย น่ากลัวมากๆ นี่เราจะอยู่รอดตลอดสี่วันมั้ย
รถพาเรามาจอดหน้าที่พักดูไม่ออกเลยว่าเป็นโรงแรม ลักษณะเป็นบ้านพักสองชั้นแล้วซอยเป็นห้อง ใช้ห้องน้ำร่วมกัน มีทั้งแบบห้องเดี่ยวและห้องเตียงรวมแบบ Dorm bed ราคาห้องเตียงรวม เตียงละ 270เปโซ ราคาห้องเดี่ยวประมาณ 700เปโซ ดูรายละเอียดที่พักเพิ่มเติมได้ที่นี่ www.manilayouthhostel.com/ มีบริการอาหารเช้าทุกวันยกเว้นวันอาทิตย์ แต่ต้องมาสั่งที่ล็อบบี้ก่อนเพื่ออกบิล ส่วนการเข้าออก ประตูจะเปิด6โมงเช้าและปิดประมาณเที่ยงคืน เพื่อความปลอดภัยของผู้พักอาศัย เราเลือกนอนห้องเดี่ยวแต่ห้องน้ำรวม ว่าแล้วก็ขอนอนซักงีบเพื่อเอาแรงก่อน แล้วค่อยออกไปตะลุยตอนสายๆ ที่พักค่อนข้างเก่าและทรุดโทรมแต่ก็ปลอดภัย เพราะมีรั้วรอบขอบชิด
ตอนหน้าพบกับความวุ่นวายของเมืองหลวงมะนิลา อย่าพลาด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น