วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แบกเป้เที่ยวฟิลิปปินส์ตอนที่4 Intramuros ป้อมปราการเก่าแก่ที่เริ่มทรุดโทรมไปตามกาลเวลา



                สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ทุกแห่ง หากไม่ได้รับการดูแลรักษาก็จะทรุดโทรมไปตามกาลเวลา เฉกเช่น อินทรามูรอส ที่ถูกปล่อยให้เก่าจนมีตะใคร่เขียวและคราบสีดำจับอยู่ แต่บางคนก็ย่อมชอบบรรยากาศดิบๆแบบนี้  เราเดินแบกกล้องด้วยเห็นว่าสถานที่ท่องเที่ยวอย่างน้อยก็น่าจะปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวที่หน้าตากลมกลืนไปกับคนพื้นที่อย่างเรา ลอดผ่านประตูเมืองที่มีตัวอักษรภาษาอังกฤษเขียนว่า Intramuros แดดยามใกล้เที่ยงร้อนได้ใจ เราเดินด้วยความงุนงงที่ว่าเหตุใดคนพื้นที่จึงเดินขวักไขว่ทั้งคนทำงานและนักเรียน สงสัยพวกเค้าคงจะออกมาทานอาหารเที่ยงกันมั้ง  สักพักด้วยความที่เราถือกล้องใหญ่จึงมีคนขับสามล้อถีบเข้ามาเสนอตัวว่าจะพาชมเที่ยวให้รอบในราคาเท่านั้นเท่านี้  เราปฏิเสธไปทุกเจ้าด้วยเห็นว่าเรายังไม่เหนื่อย เราปีนขึ้นไปบนป้อมปราการแรกแล้วขึ้นไปถ่ายรูปด้านบน ซึ่งมีปืนใหญ่ที่ขนาดไม่ใหญ่นักวางรายรอบตามช่องกำแพง มีกลุ่มเด็กนักเรียนนักศึกษาจับกลุ่มคุยกัน นั่งปิกนิกทานอาหารเที่ยงกันให้เต็มไปหมด พอเห็นเราชูกล้องเท่านั้นแหละ พวกเขาก็ต่างโบกไม้โบกมือขอถ่ายรูปกันใหญ่ ประมาณแบบว่าอยากเป็นดาราหน้ากล้องเสียเอง  เบื้องหน้ายามมองจากป้อมปราการจะเห็นสนามกอล์ฟใจกลางเมืองขนาดไม่ใหญ่นัก สักพักมีคนขับรถสามล้อถีบคนหนึ่งเดินมาตามตื๊อเราโดยเสนอราคาค่านำชมโดยการนั่งรถ ในราคาครึ่งชั่วโมงละ120เปโซ ด้วยอาณาบริเวณเมืองเก่าที่กว้างมาก เราตอบตกลงโดยลืมนึกไปว่าจะใช้เวลาในแต่ละจุดนานแค่ไหน
 สามล้อถีบให้บริการทั่วไปในเขตกำแพงเมืองอินทรามูรอส
 ถ่ายบนยอดป้อมปราการ ที่นี่มีบันไดให้ขึ้นตลอดทาง
 รถม้าชมเขตเมืองเก่าเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศอาณานิคมสเปน
 อาคารเก่าแก่ส่วนใหญ่จะเป็นสถานที่ราชการ
                รถถีบนำเที่ยวผ่านโรงเรียนมัธยมเก่าแก่ “Manila High School” อาคารสถานที่ราชการ  ผ่านมหาวิทยาลัยมะนิลา ซึ่งคนขับบอกว่านี่คือมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในฟิลิปปินส์ มีทุนการศึกษาเยอะมาก ดังนั้นจึงมีแต่คนหัวดีมาเรียนเพราะมีชื่อเสียงมาก เรามองเข้าไปเห็นตึกปลูกกันอย่างแออัดพื้นที่คับแคบคงเป็นแหล่งรวมของปัญญาชนชั้นนำของที่นี่ รถสามล้อพามาหยุดที่ป้อมประตูแห่งหนึ่งชื่อ Peurta Real สร้างในปี 1663 เป็นห้องใต้กำแพงลักษณะคล้ายที่คุมขังชั่วคราว ถูกทำลายในช่วงสงครมโลกครั้งที่2 และได้รับการฟื้นฟูในปี1969 ภายในเป็นห้องเก็บรถม้าและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ เช่น ดาบ ปืนใหญ่  กำแพงได้ถูกปล่อยให้มีตะไคร่เกาะเขียวและบางส่วนก็ขึ้นราเป็นคราบ ดำ ดำ คงสภาพแบบเดิมๆไว้ไม่มีการซ่อมแซม

 เด็กนักเรียนในชุดฟอร์มเดินกันขวักไขว่ในเขตเมืองเก่า
 ยามพักเที่ยงของเด็กนักเรียนบนป้อมปราการอินทรามูรอส เอาอีกแล้วเห็นกล้องเป็นไม่ได้
 รถเข็นขายผลไม้สดมีคนมาอุดหนุนไม่ขาด
 นี่เป็นโรงเรียน Manila High Schoolที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง
 โฉมหน้าเจ้าสารถีคู่ชีพ สังเกตว่าแกกลัวดำมากขนาดพันทั้งตัวเลย
 นี่แหละมหาวิทยาลัยมะนิลา แหล่งรวมนักศึกษาระดับหัวกะทิ
 เหล่านักศึกษาเดินออกจากตึกอาคารเรียน
 ป้อมปราการเก่าแก่ Puerta Real ภายในมีการจัดวางอาวุธที่ใช้ในสงคราม
 ประวัติความเป็นมาของป้อมแห่งนี้
 รถสามล้อถีบที่เราโดยสารนั่งมา


                เรานั่งรถผ่าน San Diego Garden คนขับถามว่าต้องการแวะมั้ย เรามองไปเห็นค่าเข้าสูงถึง75เปโซ และมองเข้าไปด้านในมีอะไรไม่มากนอกจากน้ำพุโบราณ กับอุโมงค์หลุมหลบภัยโบราณ เราเลยขอผ่านไม่เช่นนั้นจะเสียเวลาโดยไม่จำเป็น เราเดินขึ้นไปบนป้อมอีกป้อมหนึ่งที่มีประติมากรรมให้คนไปถ่ายรูปเล่น บริเวณนี้แลเห็นทิวทัศน์ของโบราณสถานอย่างกว้างขวาง สิ่งปลูกสร้างในยุคอาณานิคมสเปนนี่ดูแล้วก็คงกลิ่นอายสเปนแบบดิบๆอยู่เลย เสียแต่ว่าในบางจุดของพื้นที่ขาดการบำรุงรักษาปล่อยให้มีคนจรเข้ามาอาศัยหลับนอนซะงั้น  และแล้วก็ถึงภาคบังคับของทัวร์ที่สุดท้ายคนขับรถจะต้องพาหมูในอวย อุ๊ย นักท่องเที่ยวสิ พาเข้าไปเสียตังค์ที่ร้านขายของที่ระลึกติดแอร์อย่างดีร้านหนึ่ง เราเดินเข้าไปในร้านตามมารยาทเพียงชั่วครู่ก็เผ่นกลับมาแทบไม่ทัน เนื่องจากราคาแพงจับจิต แถมงานหัตถกรรมก็มีลักษณะเนื้องานใกล้เคียงกับงานไม้ของเชียงใหม่เลย เราเลยขอบคุณเจ้าของร้านก่อนเดินจากไปอย่างเงียบๆ แล้วออกเดินทางต่อ

 ภายในสวนมีน้ำพุและอุโมงค์หลบภัยสมัยสงครามโลกครั้งที่2
เห็นเก็บเงินแบบนี้บวกกับภายในไม่มีอะไรมากนัก เราจึงขอผ่าน

ประติมากรรมชวนขันบนกำแพง

เดาเอาเองว่าสองหนุ่มนี้คงนั่งถกกันอยู่ที่ประเด็นการเมืองแน่ๆ
 สนามกอล์ฟสุดแสนไฮโซอยู่กลางใจเมืองแห่งอินทรามูรอส
 ลักษณะเหมือนอาคารที่สร้างไม่เสร็จแต่ถูกทิ้งร้างไว้นานแล้ว
Ilustrado  fine Italian cuisine
 ภาพประติมากรรมนูนต่ำสลักหน้าประธานาธิบดีในสมัยต่างๆ
อาคารร่วมสมัยในเขตเมืองเก่า ฝั่งซ้ายคือร้านขายของที่ระลึก


คนขับรถพาเราไปดูประติมากรรมนูนต่ำทำมาจากสำริด สลักเป็นใบหน้าของประธานาธิบดีฟิลิปปินส์และภริยา วางเรียงกันเป็นแถว คล้ายกับเป็นทำเนียบรายนามประธานาธิบดี เราไม่ทราบหรอกว่าไผเป็นไผเค้าก็อธิบายแต่สมองของเราก็มิจำ ก็หิวแล้วนี่แต่เราจ้างเค้าแล้วก็ต้องเดินทางต่อไปให้คุ้มสิ  รถพามาสถานที่สำคัญอีกจุดหนึ่งคือ โบสถ์ซาน ออกัสติน (San Augustin Church) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นมรดกโลก เพราะเป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศ สร้างในปี 1587 ภายในเป็นพิพิธภัณฑ์ทางศาสนาและศิลปะด้วย น่าเสียดายที่เราไปถึงตอนเที่ยงกว่าพอดี โบสถ์จึงปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม  แต่ไม่เป็นไรแค่ถ่ายรูปกับบานประตูไม้เก่าแก่ก็ชุ่มใจแล้ว นอกจากนี้ที่นี่ยังมีบริการจัดงานแต่งงานด้วย อย่าลืมว่าคนฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่เป็นคริสต์ดังนั้นพวกเค้าแต่งงานกันในโบสถ์อยู่แล้ว



โบสถ์ซานออกัสตินที่เก่าแก่ที่สุดในเขตเมืองอินทรามูรอส (San Augustin Church)
บานประตูไม้เก่าแก่สลักอย่างวิจิตร
 รถจี๊ปนี่ย์เวอร์ชั่นติดแอร์รับนักท่องเที่ยวฝรั่งมาทัวร์
ตารางเวลาการแสดงและการปิดเปิดของพิพิธภัณฑ์โบสถ์ซานออกัสติน


                รถสามล้อถีบขี่ผ่านแหล่งเสื่อมโทรมและจุดจอดรถม้าเหม็นทั้งขี้และฉี่ของม้า การเที่ยวรอบป้อมปราการอินทรามูรอสโดยใช้รถม้านี่แพงใช่ย่อย ชั่วโมงเดียว 650เปโซ เลยทีเดียว และแล้วเค้าก็พาเรามาเชือดอีกครั้งที่ร้านขายของที่ระลึกแห่งหนึ่ง ลักษณะเป็นบ้านแบบฟิลิปปินส์โบราณสร้างด้วยไม้ เป็นบ้านพื้นเมืองมีชื่อว่า “Torogan House” ภายในขายของที่ระลึกกระจุ๋มกระจิ๋ม ราคาแพงใช้ได้แต่ก็ไม่ถึงกับแพงหูฉี่ เพื่อไม่ให้เสียศรัทธา และพันธะสัญญาบางประการที่คนขับมีต่อร้านค้า เราเลยช่วยอุดหนุนกระเป๋าทำมือเล็กๆ เป็นลักษณะคล้ายเสื่อทอ ของมินดาเนามาจากทางใต้โน่นเลย เป็นกระเป๋าสานจากใยพืชชนิดหนึ่ง ในราคาสี่ใบ 220เปโซ
บริเวณนั้นมีอนุสาวรีย์ที่ชวนให้ระลึกถึงสงครามโลกครั้งที่2 ในปีค.ศ.1945 ซึ่งเกิดขึ้นในมะนิลาและมีคนตายกว่าสองแสนคน

ร้านขายของที่ระลึกสร้างแบบ้านสไตล์ฟิลิปปินส์
กราฟฟิตี้แบบนี้มีให้เห็นทั่วไปในมะนิลา

อนุสรณ์สถานแห่งความสูญเสียจากสงครามโลกครั้งที่สอง

ตอนหน้าจะพาเข้าชมโบสถ์ใหญ่และป้อมปราการใหญ่ Fort Santiago นะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น