ความจริงเราเองก็เคยมาชมสวนนกจูร่งแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเกือบ20ปีที่แล้ว ตอนนั้นยังเด็ก มีความรู้สึกว่าสวนนกนั้นยิ่งใหญ่และเราสนุกมากๆ จนไม่อยากจะกลับออกมา หากย้อนวันเวลากลับไปได้ก็คงดี และนี่คือเหตุผลว่าทำไมเราจึงกลับไปเยี่ยมเยียนสวนนกจูร่งอีกครั้ง
คราวนี้เรามาตอนบ่ายผิดกับครั้งที่แล้วที่เรามาตอนเย็น แสงแดดแผดกล้าจนทำให้เราต้องรีบเดินจ้ำไปที่จุดจำหน่ายตั๋ว ค่าเข้าชมมีสองแพกเกจประกอบด้วย ค่าเข้าชมสวนบวกค่าโมโนเรล ราคาประมาณ $25 และค่าเข้าชมอย่างเดียวไม่รวมค่ารถ $20 แต่พอถามเจ้าหน้าที่เค้าบอกว่าถ้าเดินเท้าอย่างเดียวจะใช้เวลาประมาณ3 ชั่วโมง ไม่เอาดีกว่าเวลาเรามีจำกัด เราเลยตัดสินใจซื้อแบบแพกเกจรวมค่ารถรางไปด้วย
Jurong Bird Park Entrance
จุดแรกที่เราผ่านไปชมคือร้านขายของที่ระลึก ซึ่งมีตุ๊กตานกประเภทต่างๆ มากมาย สนนราคาชิ้นละ500บาทไทยขึ้นไป พวงกุญแจก็ตกชิ้นละ 200บาท จากนั้นเราก็เดินเข้าไปในกระท่อมเพนกวิน ในวันนี้ช่างแตกต่างจากวันวานยิ่งนัก กระท่อมเพนกวินยังคงหนาวเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ ความสกปรกและความทรุดโทรมของสถานที่ เพนกวินในนั้นว่ายน้ำในกระจกที่ขุ่นมัว แหมอยากจะให้ทางสวนนกนำเงินที่ได้ไปปรับปรุงพื้นที่ในโซนนี้นิดนึงก็ดี
เจ้านกเพนกวินดำน้ำอยู่ภายใต้กระจกที่ขุ่นมัว
เจ้าหน้าที่สาวสวยนำนกแก้วหลากสีมาให้ผู้ชมเลือกถ่ายรูป
แล้วก็ถ่ายรูปแอ็คท่าแบบนี้ งานนี้ไม่มีฟรีนะ เสียตังค์
ต่อไปเราเดินผ่านโซนนกแก้ว มีเจ้าหน้าที่นำนกแก้วมาบริการให้ถ่ายรูปแบบเสียตังค์ มุมสิ่งที่น่ารู้เกี่ยวกับนก อาทิ เมล็ดพืชต่างๆที่เป็นอาหารนก ไข่นกประเภทต่างๆ แถวนั้นจะมีเวทีการแสดงโชว์ของนกซึ่งจะจัดเป็นรอบๆตามตารางเวลา ซึ่งจะมีการโชว์ของนกปากห่าง โชว์คาบของ โชว์เหยี่ยวนักล่า และโชว์นกแก้วถีบจักรยานแต่เราขี้เกียจรอดู เราเดินผ่านบึงน้ำฟลามิงโก นกประเภทนี้อยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่สีสันแดงได้ใจมาก เราอดไม่ได้ที่จะแวะเข้าไปถ่ายรูปก่อนที่จะเดินขึ้นสถานีรถรางพาโนเรล เพื่อที่จะไปยัง Lorry Loft หรือกรงนกขนาดยักษ์ นั่นเอง
ฝูงนกฟลามิงโกแดง กับหนูน้อยกำลังศึกษาอาหารนกชนิดต่างๆ
รถพาโนเรลมาจอดให้ขึ้น คนแน่นมาก ต้องรอตามคิว ซึ่งรถจะมาทุกๆ5นาทีแต่ก็ยังไม่พอกับจำนวนคนที่มายืนรอกันต้องรอประมาณ2-3รอบกว่าจะได้ไป รถที่มาจอดทุกคันติดป้ายโฆษณาการบินไทยสีม่วงแปร๋นทุกคัน ดีเสียอีกจะได้โฆษณาสายการบินแห่งชาติให้ดังไกล รถพามาที่กรงนกยักษ์ซึ่งมีลักษณะเป็นโซ่ม่านขนาดใหญ่และตาข่ายยักษ์เพื่อป้องกันนกบินหนี ท่ามกลางอาณาจักรที่กว้างมากจนดูแทบไม่ออกเลยว่านี่เราเดินอยู่ในกรงนะ ต้นไม้บางต้นที่ว่าสูงแล้วยังสูงไม่ถึงตาข่ายด้านบนเลย นกแก้วในกรงนี้เชื่องมากขนาดบินมาขออาหารจากคน จนมีบริการให้อาหารนกแบบเสียตังค์ขึ้นมาในราคาครั้งละ $2 กับเมล็ดพืช1ถ้วย และนกจะมาเกาะที่ขอนไม้เพื่อจิกกินอาหารในถ้วย
รถรางพาโนเรลที่เราเคยขึ้นครั้งหนึ่งตอนอายุ12
นกพิราบหงอนวิคตอเรีย
เจ้านกแก้วบินลงมาเกาะขอนแล้วร้องเพื่อขออาหาร
เจ้าแก้วสามตัวจิกกินยังไม่ทันอิ่ม เจ้าสีแดงโผล่มาไล่จิก สุดท้ายวงแตกกระเจิงเพราะนกแดง
การบินไทยเป็นผู้สนับสนุน รถพาโนเรลอย่างเป็นทางการ เพราะติดป้ายหมดทุกคัน
จุดต่อไปเรานั่งรถรางเพื่อไปชมน้ำตกเทียมที่สูงที่สุดในสิงคโปร์ เค้าว่าเป็นการจำลองแบบมาจากแอฟริกาบริเวณนั้นมีชื่อว่า African Wetlands อากาศภายในชื้นแฉะ มีนกหลายชนิดอาศัยอยู่ในบริเวณนั้น ปล่อยเดินอย่างเป็นอิสระไม่มีกรง เพราะส่วนใหญ่จะเป็นนกที่บินไม่ได้ แถวนั้นได้ทำเป็นสวนป่าแอฟริกา มีมุมให้ถ่ายรูปมากมาย เด็กๆเพลิดเพลินกับรูปปั้นชาวป่า เราเดินผ่านน้ำพุบ่อฟลามิงโกจนได้เวลาอันควร เราต้องเดินทางกลับเพื่อไปยังอาคาร Suntec City กันต่อ เพื่อไปชมน้ำตกฮวงจุ้ยที่สวยและแปลกตาที่สุดต่อไป
นกตัวนี้เดินอย่างอิสระในสวนป่าแอฟริกา
บรรยากาศจำลองวิถีชีวิตชนเผ่าในแอฟริกา
ตุ๊กคาชาวป่ารอให้เด็กๆมาถ่ายรูป
อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจห่าน เผลอเมื่อไหร่ ไล่จิกคน
บริเวณทางเข้าน้ำตกจำลองแบบแอฟริกัน
ตอนหน้าจะพาไปพบกับความยิ่งใหญ่อลังการของกลุ่มอาคาร Suntec กันต่อนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น