วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ข้อมูลทั่วไปของประเทศฟิลิปปินส์

                ฟิลิปปินส์เป็นประเทศแบบหมู่เกาะอยู่กลางทะเลจีนใต้ ประกอบด้วยเกาะต่างๆ มากถึง7107เกาะ  เกาะที่ใหญ่ที่สุดคือเกาะลูซอนอันมีเมืองหลวงมะนิลาตั้งอยู่ รองลงมาคือเกาะมินดาเนาที่อยู่ทางตอนใต้ เกาะปาลาวัน เกาะเซบู และเกาะอื่นๆอีกมากมาย ภูมิอากาศแบบร้อนชื้น ฝนตกชุกตามฤดูมรสุมซึ่งจะเริ่มประมาณมิถุนายนถึงพฤศจิกายน จะมีมรสุมและพายุต่างๆ ถล่มเข้าฝั่งเยอะมาก ฝนจะตกน้อยในช่วงปลายปีจนถึงต้นปี อุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ที่26-27 องศา ตลอดปี ประชากรประมาณ89ล้านคน มากกว่าร้อยละ90นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งเป็นประเทศคริสต์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย นอกจากนั้นนับถือศาสนาอิสลาม ส่วนใหญ่จะอยู่ทางตอนใต้ของเกาะมินดาเนา เมืองหลวงคือเมืองมะนิลา Manila มีประชากรอยู่ในเมืองนี้มากกว่า10ล้านคน การเมืองการปกครองเป็นระบบอบประชาธิปไตย มีประธานิบดีเป็นผู้นำประเทศมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ประชาชนใช้ภาษาตากาล็อกเป็นภาษาพูด ไม่มีตัวอักษรใช้เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษทับศัพท์แทน ส่วนภาษาอังกฤษนั้นใช้ได้ทั่วไป ประชาชนส่วนใหญ่พูดได้สื่อสารได้ดี เพราะเป็นเมืองขึ้นอเมริกาและสเปนมานาน  เงินสกุลที่ใช้คือ เปโซ (Peso)  อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ  1เปโซ เท่ากับ 0.7บาท สินค้าส่งออกที่สำคัญคือ ข้าว พืชผักผลไม้ โดยเฉพาะมะม่วง ถือว่าขึ้นชื่อที่สุดในภูมิภาคนี้  วานหัตถกรรม งานไม้ ผ้าใยสับปะรด ฯลฯ อีกสิ่งหนึ่งที่ทำรายได้ให้กับประเทศมากมายคือ แรงงานส่งออก  ว่ากันว่าคนฟิลิปปินส์ไปเป็นแรงงานในอุตสาหกรรมบริการในต่างประเทศเยอะมาก  ด้วยความที่สื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี จึงมีทั้งแม่บ้าน ครูสอนภาษาอังกฤษ พี่เลี้ยงเด็ก พนักงานโรงแรม ช่างฝีมือ ตามที่ต่างๆทั่วโลก จนมีธนาคารที่รองรับพวกแรงงานเหล่านี้มากมายที่ขนเงินกลับเข้าประเทศ
ประวัติความเป็นมา
                แต่เดิมนั้นประเทศฟิลิปปินส์มีแต่ชนพื้นเมืองดั้งเดิมอาศัยอยู่มานาน  ไม่ได้นับถือศาสนาใดๆ แต่นับถือภูตผีและวิญญาณ ใช้ภาษาตากาล็อก ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีภาษาเขียน จนกระทั่งสเปนเข้ามายึดครองและทำสงครามกับชนพื้นเมือง ราวคริสต์ศตวรรษที่16 หรือประมาณ400ปีมาแล้ว ได้มีการปกครองโดยคนสเปน และมีการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์ระหว่างชนพื้นเมืองและชาวสเปนกันมากมาย เพื่อให้ได้ซึ่งการกุมอำนาจทางเศรษฐกิจและความกลมกลืน  จุดนี้เป็นจุดเริ่มต้นของลูกครึ่ง และสาเหตุที่ว่าทำไมคนฟิลิปปินส์ถึงหน้าตาดี คนสเปนได้ปกครองฟิลิปปินส์อยู่นานจนเริ่มมีการปะทะต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิ์อันพึงมีของชนชั้นล่าง  เนื่องด้วยสมัยนั้นชนชั้นบนสุดคือชนชั้นปกครองซึ่งเป็นชาวสเปนแท้ๆ และชนชั้นถัดมาจะเป็นลูกครึ่งสเปนกับชนพื้นเมือง ส่วนชนชั้นล่างสุดคือชนพื้นเมืองซึ่งย่อมไม่ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องต่างๆ เป็นผู้ใช้แรงงานเสียส่วนใหญ่ การยึดครองของสเปนส่งผลให้มีการนำตัวอักษรโรมันมาใช้กับภาษาตากาล็อกจนเป็นภาษาเขียนแบบทับศัพท์ขึ้น และมีการตั้งชื่อลูกหลานให้เท่ตามแบบภาษาสเปน โดยสเปนปกครองฟิลิปปินส์จนถึงปี ค.ศ. 1898
            เมืองมะนิลานั้นเดิมเป็นเมืองท่าที่สำคัญในราวคริสต์ศตวรรษที่12 ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Pasig จนตกเป็นอาณานิคมสเปนในปี ค.ศ. 1570  โดยราชา สุไลมาน ชาวมุสลิม และผู้ปกครองตอนนั้นคือ  Miguel Lopez de Legazpi  มีการสร้างชุมชนในเมืองมะนิลา ซึ่งมาจากภาษาพื้นเมือง ชื่อ “May Nilad” แปลว่า “City of Man 
                ต่อมาสหรัฐอเมริกาได้เข้ามาในฟิลิปปินส์ราวคริสต์ศตวรรษที่19 เข้ามาตั้งฐานทัพอันมีนามว่า Clark Air Force ซึ่งตอนหลังได้กลายเป็นสนามบินคลาร์ก และได้นำวัฒนธรรมหลายประเภทเข้ามาที่นี่ ทั้งวัฒนธรรมการเล่นบาสเกตบอล และการกินฟาสต์ฟู้ด จะเห็นได้ว่าตามท้องถนนแม้ในที่แคบ เด็กก็จะจัดสรรพื้นที่เล่นบาสได้ และทีมบาสเกตบอลของที่นี่มีชื่อเสียงมาก แต่ก็ยังดังไม่เท่านายปาเกียว  ส่วนกระแสฟาสต์ ฟู้ดนั้นได้ทะลักเข้ามา ไม่แพ้ห้างขนาดใหญ่พวก Discount Store ซึ่งเป็นของต่างชาติทั้งหมด ที่ดังๆ จะมี โรบินสัน Robinson  SM Mall ฯลฯ ฟิลิปปินส์ได้รับเอกราชจากอเมริกาประมาณ ปี 1945 หลังสงครมโลกครั้งที่2       จากนั้นก็มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีเรื่อยๆมา คนที่โด่งดังมากๆสมัยหนึ่งคือนาย มาร์กอส Marcos เป็นผู้พัฒนาประเทศฟิลิปปินส์จนเจริญรุ่งเรืองสูงสุด กล่าวคือมี GDP สูงที่สุดในเอเชียเมื่อราว30ปีที่แล้ว ปัจจุบันถ้าไปก็จะยังเห็นสภาพของเมืองที่เคยร่ำรวยอยู่ทั่วไป เพียงแต่ไม่ได้รับการปรับปรุงให้ใหม่เท่านั้นเอง
ตึกสถานที่ราชการแห่งประเทศเคยรวย
อนุสาวรีย์บุคคลสำคัญมีให้เห็นทั่วไปที่นี่
ภาษา
                แน่นอนล่ะ ฟิลิปปินส์เค้าใช้ภาษาตากาล็อกกัน แต่ทักษะการใช้ภาษาอังกฤษของคนที่นี่อยู่ในเกณฑ์ที่ดี เพราะมีการศึกษาภาอังกฤษเป็นภาคบังคับตั้งแต่ชั้นอนุบาล ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนร่ำรวยไล่ไปจนถึงขอทาน ต่างใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้ทั้งหมด           การอ่านออกเสียงสถานที่ต่างๆ ก็มีสำเนียงเฉพาะ โดยเฉพาะตัวอักษร G ที่นี่ จะไม่ออกเสียงเป็นจี หรือ จ แต่จะออกเสียงเป็น ฮ หรือฮี  เช่น Gil Puyat ก็จะออกเสียงว่า ฮิล ปูยัต เมืองAngeles ก็ไม่อ่านออกเสียงว่า เองเจลิส นะ แต่จะอ่านออกเสียงว่า เองเฮเลส แทนหรือคำที่ลงท้ายด้วย ON เช่น Robinson Wilson นั้นห้ามอ่านออกเสียงว่า โรบินสัน หรือวิลสันเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะสื่อสารกับรถรับจ้างไม่รู้เรื่องแน่ๆ ให้อ่านออกเสียงว่า โรบินซอล หรือวิลซอล แทน  คนที่นี่จะนิยมตั้งชื่อบุตรหลานเป็นชื่อภาษาอังกฤษ มีทั้งชื่อต้น ชื่อกลาง และนามสกุล เช่น John Mark B. Corpus ตามแบบสากลเป๊ะ  นอกจากนี้ที่นี่ยังใช้คำว่า Selamat อ่านว่า เซอลามัต ใช้แทนคำขอบคุณ ในขณะที่ในมาเลเซียใช้คำนี้กล่าวทักทาย นอกจากนี้คำว่า Mabuhay อ่านว่า "มาบูไฮ" ที่เราจะพบเจอคำนี้ทั่วไป นั่นคือยินดีต้อนรับนั่นเอง
อาหารการกิน
            นับเป็นโชคดีของชาวไทยมากๆ ที่อาหารฟิลิปปินส์มีรสชาติใกล้เคียงกับอาหารไทยมากๆ คือที่นั่นเค้ากินข้าวกับกับข้าวต่างๆ และมีการกินหมี่ผัด อาหารที่ขึ้นชื่อที่สุดของฟิลิปปินส์คือ Lechon อ่านว่า เลชอง คือหมูย่าง เค้าจะเอาหมูไปหันกับไม้ ผ่าครึ่งแล้วเผาไฟทั้งตัว จะได้เนื้อหมูที่หอมและหนังกรอบ นอกจากนี้ยังมี Adobo (อะโดโบ) เป็นเมนูหมูหรือไก่อบเปรี้ยวหวานคล้ายสตู  Sinigang เป็นซุปอาหารทะเลรสเปรี้ยวที่ใส่น้ำมะขาม และ Bophis (โบฟีส์) เป็นเมนูเครื่องในหมูผัดพริกจานนี้จะรสชาติเผ็ดที่สุด ต่อมาเป็นอาหารทานเล่นที่ไม่นิยมในไทยแล้วนั่นคือไข่ข้าวไข่ตัว (Balut) อ่านออกเสียงว่า บาลู้ท เป็นไข่ที่ฟักเป็นตัวอ่อนของเป็ดไก่แล้วนำไปต้มกลิ่นจะออกเหม็นคาว อาหารทุกอย่างทานกับข้าวสวย เป็นกับข้าว อาหารฟิลิปปินส์รสชาติจะออกเปรี้ยวหวาน ไม่เผ็ดเลย และมีส่วนประกอบของกะทิค่อนข้างเยอะ บางครั้งเมนูผัดผักผัดถั่วก็ยังใส่กะทิ แกงใส่กะทิ อาหารค่อนข้างมันและมีผักน้อย ดังนั้นคนฟิลิปปินส์ที่มีอายุหน่อยจึงค่อนข้างอ้วนลงพุง  คนฟิลิปปินส์ชอบทานอาหารฟาสต์ฟู้ดส์กันมาก ตามถนนหนทางฟาสต์ฟ้ดแบรนด์ดังๆมีทั่วทุกหัวถนน  ที่ขายดีมากๆ เห็นจะเป็นพวกไก่ทอด โดยเฉพาะแบรนด์พื้นบ้าน Joillie Bee ซึ่งมีสาขามากที่สุด สนนราคาก็ไม่แพงด้วย ด้านขนมหวานและของหวานที่ขึ้นชื่อคือ Toron (โตรอน) คือปอเปี๊ยะกล้วยทอด Buko Pie (บูโก้พาย) หรือพายมะพร้าวที่นี่จะขายเป็นถาดขนาดกลาง สนนราคาประมาณ 70บาท ไม่แพงเลย ของหวานพวกน้ำแข็งใสก็ขึ้นชื่อ ถั่วเคลือบช็อคโกแลตทอด มีขายตามแผงมากมาย และ Halo-Halo หรือน้ำแข็งใสราดน้ำหวานสีต่างๆ คล้ายบ้านเรา ส่วนรถเข็นขายผลไม้ก็มีทั่วไปเหมือนเมืองไทยเลย ผลไม้ที่ขึ้นชื่อที่สุด คือมะม่วง ว่ากันว่าที่นี่อร่อยที่สุดในโลกนะ ราคาก็ไม่ถูกด้วย ขายตามท้องตลาดเป็นมะม่วงสุกก็ตกโลละ70บาทแล้ว  แต่มะม่วงอบแห้งนี่ดังยิ่งกว่าถึงขนาดมีแบรนด์ส่งออกมากมาย ราคาจำหน่าย 200กรัมจะอยู่ที่ 116เปโซ ประมาณ80บาท ส่วนเครื่องดื่มที่ขึ้นชื่อของที่นี่คือ น้ำมะพร้าวและเบียร์ โดยเฉพาะเบียร์ยี่ห้อท้องถิ่นคือ เบียร์ San Miguel ซึ่งถือว่าใครไม่ได้มาชิมเบียร์ยี่ห้อนี้ถือว่ายังมาไม่ถึงฟิลิปปินส์เลยทีเดียว
 อาหารจำพวหมี่ผัด ข้าวผัดมีให้เห็นทั่วไปตามท้องถนน
 กับข้าวในส่วนที่เป็นข้าวราดแกง ที่นี่จะไม่ตักราดข้าวแต่จะแยกเป็นจานเล็กๆ
 นี่คืข้าวแกงของแท้ มีผัดถั่วฝักยาวกับเครื่องในหมูผัดเผ็ด (Bophis)


ของซื้อของฝาก
                อย่าไปคาดหวังอะไรมากนักกับการมาเที่ยวที่นี่ แต่ถ้าจะซื้อของติดไม้ติดมือไปฝากคุณผบ.ที่รักแล้วล่ะก็ ซื้อมะม่วงอบแห้งไปน่ะดีที่สุดแล้ว เพราะคุณภาพส่งออกเค้าแน่จริง นอกจากมะม่วงแล้วที่นี่ยังมีฝรั่งอบแห้ง มะละกออบแห้ง แต่ความดังก็ยังไม่เท่ามะม่วง ด้านงานหัตถกรรมทำมือที่สวยงามก็จะมีพัดแบบสเปน คนที่นี่ไม่ว่าหญิงหรือชายต่างพกพัดกันทั้งนั้นเพราะอากาศร้อนอบอ้าว อีกผลิตภัณฑ์หนึ่งที่ขึ้นชื่อคือผ้าใยสับปะรด ซึ่งราคาสูงมากเมื่อนำมาผลิตเป็นเสื้อ ผ้าคลุมเตียง ผ้าปูโต๊ะ ผ้ารองแก้ว ผ้าเช็ดหน้า สนนราคาเมื่อเป็นผ้าคลุมเตียงจะราวๆ หมื่นกว่าๆ หากเป็นผ้าปูโต๊ะก็แปดพัน เป็นเสื้อเชิ้ตก็จะตัวละสองพันกว่าบาท เค้าบอกว่าเป็นงานฝีมือจริงๆ ราคาจึงสูงมาก ด้านงานแกะสลักไม้ก็สวยงาม แต่เนื้องานจะคล้ายภาคเหนือบ้านเรา และมีกระเป๋าผ้าปักที่ทำในมินดาเนานั่นก็ขึ้นชื่อเหมือนกัน
ผ้าเช็ดหน้าผลิตจากใยสับปะรด
มะม่วงอบแห้งของอร่อยอันขึ้นชื่อของที่นี่
พัดแบบสเปนอันขึ้นชื่อของฟิลิปปินส์

ข้อควรระวัง
                เนื่องจากประเทศฟิลิปปินส์ประชากรเยอะมาก เพราะขาดการคุมกำเนิด เค้าว่าผิดหลักศาสนานิกายคาทอลิก ก็เลยมีลูกหลานยั้วเยี้ยเต็มไปหมด อีกทั้งช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนสูงมาก ทำให้มีขอทานและมิจฉาชีพค่อนข้างเยอะ อย่าใส่เครื่องประดับของมีค่า และอย่าสะพายกล้องตัวใหญ่ไว้ด้านนอก เพราะขณะถ่ายรูปเราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าใครคือคนร้ายที่อยู่รอบตัวเรา หากเดินไปในที่ชุมชนให้ระมัดระวังกระเป๋าสตางค์และกระเป๋าสะพาย ให้กอดกระเป๋าตัวเองให้แน่น อีกทั้งถ้าจะเดินไปไหนมาไหนตอนดึกๆ ไม่แนะนำให้เดินคนเดียว โดยเฉพาะตามที่เปลี่ยว เพราะคนไร้บ้านค่อนข้างเยอะ  รวมไปถึงอย่าไปดื่มน้ำผลไม้บางที่ที่ขายใส่แก้ว เพราะอาจโดนวางยาได้ ให้ซื้อน้ำดื่มจากในร้านค้าสะดวกซื้อจะดีกว่า
                อีกเรื่องที่สำคัญสำหรับคนเป็นโรคแพ้อากาศแพ้ฝุ่น ที่กรุงมะนิลาจะเต็มไปด้วยมลพิษและฝุ่นละอองจากรถยนต์ เนื่องจากการจราจรติดขัดมากกว่ากรุงเทพฯ และมีจำนวนรถบนท้องถนนมากกว่า แนะนำให้ใส่หน้ากากอนามัย จะได้ป้องกันทั้งฝุ่นมลพิษ และเชื้อโรคไข้หวัดได้ด้วยนะ
                การใช้บริการรถสาธารณะโดยเฉพาะรถแท็กซี่ หากเห็นเป็นนักท่องเที่ยว เค้ามักจะไม่ค่อยกดมิเตอร์ แต่จะเสนอราคามาค่อนข้างสูง ให้ปฏิเสธไปเลยและพยามยามเลือกคันที่จะกดมิเตอร์  นอกจากนี้ควรรู้จักถนนหนทางที่ตนจะไปด้วย ควรระบุพิกัดให้เรียบร้อยว่าแถวนั้นมีอะไรหรืออยู่ใกล้ที่ไหน  ไม่เช่นนั้นแท็กซี่จะพาคุณอ้อมเพื่อให้มิเตอร์ขึ้นสูง และเมืองหลวงมะนิลานั้นใหญ่โตมาก คนขับแท็กซี่เค้าไม่รู้จักทุกซอกทุกมุมของมะนิลาหรอกนะ

ตอนต่อไปจะพาทุกท่านแบกเป้พร้อมตะลุยกรุงมะนิลากันครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น