เราลงที่สถานี EDSA แล้วเดินขึ้นสะพานลอยรายรอบแบบย่านอนุสาวรีย์ชัยฯ แล้วไปลงตรงจุดต่อรถจี๊ปนี่ย์เหมือนเดิม เดินผ่านร้านขายน้ำมะม่วงและก็มาสะดุดที่ส้มลูกโตน่ากินมาก เราเลยซื้อมาโลนึง ราคา60เปโซ กะว่าจะกินผลไม้สักหน่อย หลังจากที่เขมือบแต่อาหารที่อุดมไปด้วยไขมัน เราต่อรถจี๊ปนี่ย์ไปลงที่ SM Mall of Asia เหมือนเดิม เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะเจ้าจอห์นเพื่อนคนที่นี่ เค้าแนะนำให้ไปดูพระอาทิตย์ตกทะเลที่หลังห้างดังนี้ไงล่ะ เห็นบอกเราว่าสวยกว่าที่ มะนิลาเบย์วอล์คอีก เราไปถึงก็ต้องเดินทะลุห้างไปเรื่อยๆจนสุดทางออกอีกทางหนึ่งแล้วจะเป็นสะพานลอยให้เดินข้ามถนนที่เลียบชายฝั่ง เราต้องเดินข้ามอีกฝั่งเพื่อไปริมทะเล ณ ตอนนี้ท้องฟ้าสีเทา เหมือนพระอาทิตย์จะตกไปตั้งแต่5โมงกว่าแล้วแต่คนที่นี่ยังคงเนืองแน่นอยู่ เค้าพาเพื่อนฝูง แฟน หรือแม้แต่ครอบครัวมานั่งพักผ่อนกันเต็มพื้นที่ไปหมด สวนสนุก สนามเด็กเล่นนั้นขายดีมาก บรรดาพ่อค้าหัวใสต่างก็เข็นรถมาตั้งขายของกันเพียบ เราปีนขึ้นไปนั่งรับลมทะเลยามเย็นเห็นหลายคนถ่ายรูปกันใหญ่ ทันใดนั้นเราก็เหลือบไปมองเศษขยะมากมายที่ทิ้งอยู่เบื้องล่างตามซอกหิน อย่างนี้แหละคนซื้อของกินออกจากห้างบ้าง แถวนี้บ้างออกมานั่งกินไปชมพระอาทิตย์ตกไป เมื่อเขาขาดจิตสำนึกที่ดี พวกเค้าก็จะทิ้งขยะได้ทุกที่ น่าเสียดายทัศนียภาพแห่งการชมพระอาทิตย์ตกเป็นอย่างยิ่ง
ตะวันลับขอบฟ้าด้านหลังห้าง SM Mall of Asia
ผู้คนมานั่งรอตะวันตกดินท่ามกลางกลิ่นอายทะเลเย็นๆ
สวนสนุกมีไว้ให้บริการแก่เด็กๆ ด้านหลังห้าง
แม้ว่าเย็นนี้จะไม่มีอาทิตย์ให้เห็นแต่คนก็ยังมานั่งสูดอากาศกันเยอะ
ลานจอดรถอันกว้างขวางของห้าง SM Mall of Asia
สนามเด็กเล่นหลังห้างเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของคนเมือง
ตะวันลับฟ้าไปแล้วพื้นน้ำกับเมฆเป็นสีเดียวกัน
แม้ตะวันตกดินไปแล้วแต่ผู้คนก็ยังไม่ไปไหน
พอฟ้าเริ่มมืด ถ่ายรูปไม่ได้แล้ว หาอะไรทานดีกว่า พอกลับเข้ามาในห้างสงสัยเราคงอดกินแล้ว ทุกร้านเต็มไปด้วยผู้คนออกมาทานอาหารนอกบ้าน ลืมไปว่าวันนี้เป็นเย็นวันศุกร์ เข้าใจล่ะ ไปเรียกแท็กซี่หน้าห้างเหมือนเดิมดีกว่า ขากลับนั่งแท็กซี่มาที่พักจ่ายไปแค่55เปโซ รถติดนิดหน่อยเพราะเป็นเย็นวันศุกร์ เรากลับไปถึงก็โทรนัดเพื่อนจอห์นให้พาไปชมภูเขาไฟ ตาอัล (Taal Volcano) ที่ทะเลสาบ ตาอัล (Taal Lake ) ณ เมืองตะไกไต (Tagaytay City ) ให้เค้ามาหาแต่เช้าจะได้ทานข้าวเช้ากันก่อน แล้วค่อยโบกรถตรงหน้าที่พักไปกัน เราถามพนักงานโรงแรมอีกครั้งว่าจะไปเมืงตะไกไตขึ้นรถตรงไหน เค้าก็ชี้มือมาที่ถนนหน้าที่พักเลยบอกว่าคุณสามารถไปดักขึ้นรถได้เลย มันออกทุกครึ่งชั่วโมง แต่ถ้าไปเช้าหน่อยก็ดีคุณจะได้เที่ยวที่นั่นทั้งวัน
เศษขยะทิ้งเกลื่อนกลาดหลังจากกิจกรรมชมพระอาทิตย์ตกสิ้นสุดลง
เราออกไปทานข้าวแถวโรงแรมได้ยินเสียงคนหาบของมาขายตะโกนคำว่า “บาลูท บาลูท “ ซ้ำไปซ้ำมา มันคืออะไรกันนะ แต่พอชะโงกหน้าไปดูใกล้ๆ ไข่ข้าวนี่หว่า (Balout) เค้าอ่านออกเสียงว่า “บาลู้ท” คนที่นี่นิยมรับประทานกันเป็นอาหารว่าง แค่เห็นก็คาวแล้วตอนเด็กๆไม่รู้ว่ากินไปได้ไงนะ แล้วเราก็เดินต่อไปที่ร้านเดิม ร้าน Mario Restaurant ไปกินอาหารแบบชี้ชี้ (Toro Toro) นั่นเอง มาเที่ยวฟิลิปปินส์ทั้งทีถ้าไม่ได้ทานอาหารแบบนี้ถือว่ายังมาไม่ถึงนะ เราสั่งข้าว1จานมาทานกับผัดผักบุ้งและต้มข่าปลาใส่ขนุนอ่อน รสชาติออกหวานทุกจานอีกแล้ว พอคิดเงินออกมาก็ราคาเดิมคือ 68เปโซ จานั้นเราก็ไปทานไอศกรีมร้านแมคโดนัลต่อ แล้วก็เดินกลับ
ระหว่างทางเราจะกลับผ่านเส้นโลกีย์ร้านเริ่มเปิดให้บริการแล้ว บรรดาสาวบาร์ต่างนุ่งน้อยห่มน้อยออกมายืนเรียกแขก ใครแต่งตัวดีหน่อยก็ย่อมโดนฉุดกระชากลากถูหน่อยเป็นธรรมดา มีหนุ่มยุ่นคู่หนึ่งหน้าตาดีอายุยังน้อยสะพายเป้แบบแบ็คแพ็คเกอร์ สาวบาร์ปรายตามองปรู๊ดก็รู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่หนุ่มปินอย พวกเธอกุลีกุจอเข้าไปกึ่งลากกึ่งเชิญให้เข้าร้าน แต่หนุ่มยุ่นก็ปฏิเสธอย่างสุภาพแล้วเดินจากไป สาวบาร์คงนึกเสียดายยิ่งนัก แหมเกือบจะจับได้แล้วเชียว พอกลับมาถึงที่พักเจ้าจอห์นเพื่อนเราแวะมารออยู่นานแล้ว เค้าบอกว่าพรุ่งนี้จะพาไปชมภูเขาไฟ และจะมารับแต่เช้า เราน่ะเหรอ ดีใจมาก มีคนช่วยหารค่าใช้จายแล้ว55
ตอนต่อไปจะพานั่งรถออกไปนอกเมืองมะนิลา ไปชมความงามของชนบทแบบฉบับปินอยกันนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น