วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แบกเป้เที่ยวฟิลิปปินส์ตอนที่3 กะเหรี่ยงตกดอยแบกเป้ชมความวุ่นวายของเมืองมะนิลา

                ด้วยความที่เราไม่เคยนอนตอนเช้า หลับไปได้สักสามชั่วโมงเราก็ต้องตื่นแล้ว อากาศร้อนมากแล้วหิวมากด้วย เราเดินออกมาทานข้าวที่โรงอาหารของที่พักซึ่งจะต้องสั่งที่ล็อบบี้ มีเมนูอยู่4รายการเขียนเป็นภาษาตากาล็อก ช่วยด้วยอ่านไม่ออกจนต้องถามเจ้าหน้าที่ รายการอาหารเช้าประกอบด้วย ปลาทอดราดข้าว  ข้าวหมูทอดน้ำผึ้ง และหมูผัดเปรี้ยวหวานทุกจานจะมีไข่ดาวโปะตามแบบฉบับอาหารฟิลิปปินส์ เราสั่งข้าวปลาทอดพลางวาดฝันว่าคงจะมาเป็นปลาชิ้นหนานุ่มแน่ๆ ในราคา65เปโซรวมไข่ดาว 15นาทีผ่านไป ปลาทอดที่เราเห็นเป็นปลาตัวขนาดปลาเนื้ออ่อนตัวเล็กๆ ทอดจนกรอบทั้งตัวราดด้วยซอสพริก รสชาติแปลกๆ แต่เราก็ต้องกิน จานนั้นเรากินไม่หมด สุดท้ายก็เสร็จน้องแมวที่มาร้องขออาหารอยู่ด้านข้าง เราอาบน้ำแต่งตัวแล้วสะพายกล้องจะออกไปถ่ายบริเวณหน้าโรงแรม ถ่ายไปได้แชะสองแชะ เจ้าหน้าที่โรงแรมเดินมาเตือนทันทีเลยว่า คุณไม่ควรสะพายกล้องไว้ที่คอมันอันตรายมากรู้มั้ย โดยเฉพาะกล้องตัวใหญ่ๆ เพราะในเมืองมะนิลา มีนักท่องเที่ยวโดนจี้ปล้นมาหลายรายแล้ว เราเลยถามต่อว่าอ้าวแล้วตามสถานที่ท่องเที่ยวล่ะปลอดภัยมั้ย เค้าตอบว่าปลอดภัยแต่ตามท้องถนนทั่วไป และยิ่งเป็นตามชุมชนที่รายรอบโรงแรมนั้นไม่ปลอดภัย หากจะถ่ายควรดูซ้ายดูขวาก่อนแล้วค่อยเล็งกล้อง และควรเก็บกล้องไว้ในเป้สะพายหากต้องการถ่ายค่อยหยิบมาถ่าย  อีกทั้งกระเป๋าสตางค์ควรเก็บไว้กับตัวให้ดี อย่าใส่ไว้ด้านหลัง เราจำเป็นต้องเชื่อเค้าเพราะที่นี่ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนเยอะมาก ยอดอาชญากรรมจึงสูง
 Manila International Youth Hostel ที่นี่เป็นเหมือนบ้านมากกว่าโรงแรม
 พนักงานต้อนรับของที่นี่ น่ารักเชียว
 เพียงแค่ดีดนิ้วเจ้าเหมียวก็เดินมาหาทันที
 ประตูโรงแรมจะเปิดตอน6.00-24.00น. ย่านนี้พอมืดแล้วคงน่ากลัว
เจ้าสามล้อถีบหน้าโรงแรม คนขับไม่รู้ไปไหน

                เราเดินออกจากที่พักไปตามถนนหลักที่มีชื่อว่า Roxas Boulevard เพื่อไปขึ้นรถจี๊พนี่ย์ (Jeepney) ลักษณะเป็นรถต่อเติมคล้ายสองแถวบ้านเราเป็นเอกลักษณ์ของฟิลิปปินส์เหมือนกับรถตุ๊กๆบ้านเรา  นอกจากนี้ยังมีรถถีบพ่วงข้างที่โน่นเรียกว่า (Tricycle) เป็นยานพาหนะที่เก๋ไก๋ไปอีกแบบ วันนี้เราจะเข้าไปในเขตเมืองเก่าย่าน Intramuros อ่านออกเสียงว่า อินทรามูโรส เราจะนั่ง LRT ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าของที่นี่เข้าไปยังใจกลางเมือง โดยต้องไปขึ้นที่สถานี Bacclaran อ่านว่า บัคคล้าราน ต้องอ่านออกเสียงให้ถูกอีกแล้วไม่เช่นนั้นคนเมืองจะไม่เข้าใจ เวลาสิบโมงกว่าๆ ถนนขนาด8เลนติดชะงัก รถแทบไม่ขยับ มีเสียงบีบแตรดังสนั่น คนเดินข้ามถนนกันแบบไม่สนใจทางม้าลาย เหม็นกลิ่นควันจากท่อไอเสีย ผู้คนยืนรอรถเมล์ที่ป้าย ถนนเต็มไปด้วยหาบเร่แผงลอยวางบนทางเท้า รถเมล์กับรถจี๊พนี่ย์จอดไม่ชิดทางเท้าแต่จอดนิ่งกลางถนนที่รถติดให้คนเดินขึ้นลงตามใจชอบ
                แม่บ้านที่โรงแรมแนะว่าหากต้องการไปไหนในมะนิลาให้สังเกตตัวอักษรข้างรถเมล์และรถจี๊พนี่ย์เพราะเค้าจะเขียนไว้ ข้างตัวรถ เราขึ้นรถจี๊พนี่ย์ที่เขียนข้างรถว่าไป Bacclaran อยากหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปใจจะขาดแต่ก็ไม่กล้าหยิบ เห็นสาวใส่ชุดทำงานคนหนึ่งนั่งกอดกระเป๋าสะพายตัวเองแน่นเลย อะไรอะไรก็เกิดขึ้นได้ดังนั้นเราต้องไม่ประมาท คนขับรถจี๊พนี่ย์มีความสามาถพิเศษมาก สามารถขับรถได้ ทอนตังค์ได้เก็บเงินได้ วัฒนธรรมการนั่งรถที่นี่เค้าจะฝากยื่นตังค์เป็นระยะๆและบอกสถานที่ลงปลายทาง คนขับจะบอกราคาและทอนตังค์ให้ อีกมือก็หมุนพวงมาลัยไปทอนตังค์ไปโชคดีที่รถติดมาก อากาศตอนนี้ร้อนอบอ้าวมาก เหงื่อเราแตกพลั่กๆ นี่ขนาดยังไปไม่ถึงไหนเลยนะเนี่ย เราบอกสถานที่ว่าจะลงบัคคลาราน คนขับบอก10เปโซ คิดเป็นเงินไทย7บาทเอง เราเลยบอกคนขับว่าช่วยบอกด้วยหากว่าถึงแล้ว เราใช้เวลาบนรถมากกว่าครึ่งชั่วโมงแม้ระยะทางจากหน้าโรงแรมมาที่บัคคลารานนั้นไม่ไกลเลย ระว่างทางก็มีคนขึ้นลงเรื่อยๆ จนคนบนรถสะกิดบอกให้ลงที่นี่ถึงแล้วบัคคลาราน

 คนเดินขวักไขว่มาขึ้นรถสาธารณะที่ Roxas Boulevard
 ตามเส้นทางที่มีคนขายของบนทางเดินรถระเกะระกะ

                เราลงจากรถกลางถนนที่รถติดพอดี จุดนี้มีรางรถไฟฟ้าผ่านคนเดินขวักไขว่ เราเดินเข้าไปในซอยที่มีแผงลอยขายของแน่ไปหมด เหมือนเดินแถวอนุสาวรีย์ชัยบ้านเรา คนเดินแน่นไปหมดทำให้เราต้องระวังกระเป๋าของเรามากขึ้น เราเดินผ่านธนาคารและร้านสะดวกซื้อก็พบว่ามียามถือปืนยาว ย้ำอีกครั้งว่าปืนยาวพร้อมกระสุนพาดบ่าเป็นแผง โหยอะไรมันจะเตรียมพร้อมรบขนาดนั้น เราเดินขึ้นสถานีรถไฟฟ้าก็ยังมียามแบกปืนยืนเหมือนทหารแบกปืนตามรถไฟฟ้าบ้านเราเลย สถานีรถไฟฟ้าที่นี่ไม่มีตู้หยอดซื้อตั๋วอัตโนมัตินะ  จะต้องเดินไปซื้อที่เคาน์เตอร์เท่านั้น ช่วงเช้ากับเย็นน่ะไม่ต้องพูดถึงเลยคิวยาวเหยียด เราซื้อตั่วไปลงที่สถานี Central Terminal ซึ่งเป็นสถานีที่อยู่ใกล้ Intramuros มากที่สุดในราคาค่าโดยสารเพียง 15เปโซ รถไฟฟ้าที่นี่สร้างแบบเก่าคือมีการโรยกรวดที่รางแบบรถไฟบนดิน และกระแสไฟฟ้าจะปล่อยออกมาตามสายไฟด้านบน มิได้ปล่อยกระแสไฟฟ้าที่รางแบบบ้านเรา ก็รถไฟฟ้าที่นี่มีมานานกว่า30ปีแล้วนี่ ยืนรอประมาณ10นาที รถไฟก็แล่นมาเทียบหน้าตารถคล้ายกับรถไฟดีเซลรางบ้านเราเลย คนที่นี่เข้าคิวรอขึ้นอย่างเป็นระเบียบ แต่เมื่อเข้าไปแล้วนี่สิไม่ยอมเดินชิดในกันบ้างเลย ชอบยืนออกันตรงหน้าประตู ทำให้คนเข้าเบียดเข้าไปยาก รถไฟฟ้าวิ่งผ่านสถานีต่างๆ คนเดินเข้าออกไม่ขาดจนรถเป็นปลากระป๋องที่แอร์ไม่เย็นด้วย หลายคนหยิบพัดแบบสเปนขึ้นมาพัด ทั้งชายและหญิงพกพัดแบบนี้กันเป็นเรื่องปกติ เป็นบ้านเราหากชายคนใดใช้พัดแบบนี้ล่ะก็ แต๋วแตกฮา  การขึ้นรถไฟฟ้าที่นี่สิ่งที่พึงระวังสำหรับชาวต่างชาติคือ คนแน่นต้องระวังทรัพย์สินส่วนตัว และการประกาศบอกสถานีจะบอกเป็นภาษาถิ่นซึ่งเราไม่มีทางฟังออกเลย จะต้องฟังพยางค์สุดท้ายซึ่งจะเป็นชื่อสถานีถัดไป ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ เพราะบนรถไม่มีจอทีวีแสดงผลให้ดูว่าสถานีหน้าเป็นสถานีอะไร จนในที่สุดเราต้องตั้งใจฟังจนถึงสถานีปลายทาง
 LRT  ที่มีอายุของรถมากกว่า30ปี เสียงเครื่องยนต์ดังมาก
 รถไฟฟ้าที่นี่ปล่อยกระแสไฟฟ้าตามสายด้านบน และรางถมกรวดหินเหมือนรถไฟพื้นราบ
ชาวปินอยยืนต่อแถวรอขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานี Bacclaran

 ภาพถ่ายจากมุมบนจากสถานี Central Terminal เห็นรถม้าให้บริการนักท่องเที่ยว
 เบื้องล่างของรางรถไฟฟ้าทรุดโทรมไปตามกาลเวลา

                    เราลงจากสถานีเดินลงบันไดผ่านเกตที่ออกแบบมาเหมือนกับกรงล้อหมุนที่หมุนได้ทางเดียว ความวุ่นวายบังเกิดอีกครั้งเมื่อลงไปก็จะเจอสองแถว รถถีบ รถรับจ้างมากมายมาคอยหาผู้โดยสาร เห็นฝรั่งคนนั้นโดนรุมตอมใหญ่ เรารอดตัวไปเพราะมีหน้าตาเป็นอาวุธที่กลมกลืนกับคนพื้นที่  เราเดินข้ามถนนพอเอาแผนที่มากางก้เห็นว่าอยู่แถว UN Avenue เป็นย่านอาคารราชการที่อเมริกามาสร้างไว้ในยุคเฟื่องฟู จุดแรกที่เราเดินผ่านคือมหาวิทยาลัย Universidad de Manila คงเป็นเวลาพักเที่ยงพอดี มีเด็กนักเรียนเดินออกมาซื้อของกินข้างนอก ของกินหน้าสถานศึกษาราคาถูกดีจริงๆ แฮมเบอร์เกอร์ซื้อ1แถม1 เด็กฟิลิปปินส์นี่เห็นกล้องถ่ายรูปเป็นไม่ได้มายืนแอ็คท่ากันใหญ่ เป็นเด็กไทยนี่คงวิ่งหนีกล้องกันหมด เราเดินไปทางศาลาว่าการกรุงมะนิลา (Manila City Hall) ระหว่างทางเดินผ่านอนุสรณ์สถานขบวนการ KKK ด้านหลังแท่นหินมีคำอธิบายเขียนอยู่แต่อ่านไม่ออกเพราะเป็นภาษาตากาล็อก  เราแวะถ่ายรูปแบบหันซ้ายหันขวานิดนึงเพื่อความไม่ประมาท และเห็นรถของเจ้าหน้าที่เรือนจำจอดอยู่ มีนักโทษตีตรวนเป็นผู้ชายทั้งหมดใส่ชุดสีเหลืองกำลังเดินขึ้นรถ นับแล้วมีมากกว่า20คน หน้าตาเอาเรื่องอยู่คงเพิ่งถูกพิพากษาจากศาลากลาง อาคารศาลากลางสูงประมาณ4ชั้น สร้างขึ้นในปีค.ศ.1939 พอเราจะเดินเข้าไปชมความงามข้างในเจ้าหน้าที่ยามกลับถามว่าจะเข้าไปพบส่วนใด ถ้าไม่มีกิจธุระไม่ให้เข้า ซะงั้นที่นี่คงเป็นสถานที่ราชการจริงๆ เราถอยออกมาถ่ายรูปตึกข้างนอกแล้วเดินไปตามท้องถนนเรื่อยๆ เดินลอดอุโมงค์ลอดถนนแล้วในที่สุดเราก็จะมาเจอกับดงสามล้อถีบที่จะพานำชมอินทรามูรอส เขตเมืองเก่าที่อยู่ในป้อมปราการที่ดูเคร่งขรึม ข้างในจะสวยงามแค่ไหนกันหนอ


 ฟาสต์ฟู้ดราคานักศึกษามีอยู่ทั่วไปหน้าวิทยาลัย
 มหาวิทยาลัยมะนิลา
 เด็กชาวปินอยเห็นกล้องเป็นไม่ได้ ต้องขอมีส่วนร่วม
 รถโมบายดีไซน์ประหลาดๆ ไม่รู้ว่าเป็นรถบริการเคลื่อนที่
 อนุสาวรีย์กลุ่มผู้ปลดปล่อย KKK
 คุกเคลื่อนที่ ตอนหลังคนขับตะโกนว่าห้ามถ่ายรูปเพราะมีผู้ต้องขังอยู่ด้านใน
 ศาลาว่าการเมืองมะนิลา มีหอนาฬิกาโดดเด่น
 โปรดสังเกตใต้ฐานอนุสาวรีย์มีคนไร้บ้านนอนอยู่
 ศาลาว่าการกรุงมะนิลาคล้ายศาลาว่าการกทม.
แท่นเสาธงหน้าศาลาว่าการมะนิลา
ศาลาว่าการอยู่ติดกับทางรถไฟฟ้าเลย ประชาชนสามารถมาติดต่อราชการได้สะดวก
 รถจี๊ปนี่ย์ให้บริการจอดหน้าศาลาว่าการ
 ทางเข้าเมืองโบราณอินทรามูรอส โปรดสังเกตรถขายน้ำมะม่วงซ้ายมือ

ตอนหน้าเราจะพาทุกท่านชมเมืองโบราณอันมีนามว่า Intramuros

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น