วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แบกเป้เที่ยวฟิลิปปินส์ตอนที่6 อาหารของฟิลิปปินส์มื้อที่อร่อยที่สุด (เพราะหิวมาก) และหลงทาง ช่วยด้วย!!!


                เจ้าสารถีคงไม่ค่อยพอใจนัก ขากลับแกเงียบเลยพาเรามาส่งที่ร้านอาหารพื้นเมืองแห่งหนึ่ง พอเราชวนแกกินข้าวแกก็อ้างว่ากินมาแล้วตามสบายเลย งั้นเราแยกกันตรงนี้ละกัน เค้าตกลงเพราะจะได้ไปรับลูกค้ารายใหม่ ก่อนไปเค้าชี้ทางออกให้ ว่าถ้าคุณต้องการออกไปขึ้นรถไฟฟ้าให้ออกทางเดิมนะ เรานึกคิด เรานั่งกินข้าวก่อนแล้วเดินเล่นสักพักให้เค้าได้ลูกค้าใหม่ไปก่อนดีกว่า เดี๋ยวออกไปโดนตีหัวแบะ ฮาๆๆ
                ร้านอาหารที่เค้าพามาส่งนั้นราคาถูกมากจริงๆ ราคาแบบนักศึกษาเลย ขนาดจะบ่ายสามแล้วยังมีคนทานอยู่เยอะเลย เกือบจะไม่มีที่นั่ง ร้านนี้มีลักษณะเป็น Canteen คือต้องบริการตนเอง หยิบช้อนส้อมและตักน้ำดื่มเอง
อาหารแบ่งเป็นเมนูเส้นจะมีก๋วยเตี๋ยวผัดและพาสต้าผัดต่างๆ ใส่หม้อไว้ และเมนูข้าวจะเป็นข้าวราด มีทั้งไก่ทอด ต้มปลา และอะโบโด (หมูสามชั้นสตู) เมนูล้วนเป็นภาษาตากาล็อกอ่านไม่ออก รู้แต่ว่ามีราคาติดอยู่ ไล่ตั้งแต่20เปโซไปจนถึงแพงสุด 40เปโซ โอ้โหราคามิตรภาพจริงๆ เราต้องชี้ที่ตัวอาหารเพื่อสั่งเพราะเราสั่งไม่ถูกจริงๆ จึงลองสั่งหมี่ผัดเต้าหู้มากินจานนึง หน้าตาคล้ายหมี่ผัดเจบ้านเราเลย แต่ใส่มะนาวลูกเล็กทั้งลูกมาให้เราบีบด้วย เป็นมะนาวจิ๋วที่เปรี้ยวมากจึงช่วยชูรสหมี่ผัดไม่ให้เลี่ยน เราเดินไปตักน้ำจากถังน้ำแข็งใส่แก้ว แล้วในที่สุดอาหารตรงหน้าก็หมดไปในพริบตาจากความหิว เราไปจ่ายเงินด้านหน้า แม่ค้าไม่คิดค่าน้ำแข็งเหมือนร้านอาหารตามสั่งบ้านเราบางร้านเลย ราคามื้อนี่แค่20เปโซ คิดเสียว่าประหยัดเพื่อไปอุดเลือดสาดค่ารถเมื่อกี้ละกัน

 หมี่ผัดเต้าหู้เห็นเค้าเรียกว่า Lomi ราคาเพียง20เปโซเท่านั้น
 หลากหลายเมนูเส้นมีทั้งหมี่ผัด มะกะโรนี สปาเก็ตตี้ ราคาเริ่มต้นที่ 20เปโซ
 หลากหลายเมนูบนกระดาน ราคาไม่แพงเลย
ถ้าจะทานแบบข้าวสวยร้อนๆกับกับข้าวก็มี มีทั้งอะโบโด ไก่ทอด และปลาต้มรสเปรี้ยว

                เราเดินกลับออกจากประตูป้อมอินทรามูรอสทางเดินก็ยังมีรถสามล้อถีบให้บริการนักท่องเที่ยวจำนวนมากเหมือนเดิม ต่างส่งเสียงเพื่อเรียกลูกค้าให้ไปชมเมือง เรายังไม่หายกระหายน้ำเลยไปซื้อชามะนาวกระป๋องมาดื่มจากแผงข้างทาง ที่ร้านมีพัดขายเยอะมาก เห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งเลือกซื้อพัดอยู่ พอซื้อแล้วก็รำพัดกันทั้งคู่ ในประเทศเขตร้อนเช่นนี้ การพกพัดในกระเป๋าถือเป็นเรื่องปกติ เราเดินลอดอุโมงค์ที่เป็นพลาซ่าในตัวมีของวางขายในอุโมงค์เต็มไปหมดเหมือนตลาดนัด สุดท้ายเราก็เดินกลับมาที่สถานีรถไฟฟ้า Central Terminal เพื่อกลับไปยัง Bacclaran
 รถสามล้อถีบยังรอให้บริการนักท่องเที่ยวอยู่เต็มทางเข้าออกอินทรามูรอส
ซุ้มประตูบางส่วนได้รับการบูรณะปรับปรุง

                รถไฟฟ้าแล่นไปตามราง ตอนบ่ายสี่เค้ายังไม่เลิกงานกัน ผู้คนบางตาหากแต่แอร์ในรถควรปรับปรุงด่วนถ้าคนแน่นอาจมีคนลมจับก็เป็นได้ เราตัดสินใจลงสถานี EDSA หรือ เอ็ดซ่า ด้วยเห็นว่ามันน่าจะต่อรถได้มากกว่า เพราะอยู่ตรงสี่แยกใจกลางเมืองเหมือนอนุสาวรีย์ชัยฯ บ้านเรา รถแล่นมาถึง EDSA คนลงกันเกลี้ยงขบวนเลย เพราะสถานีปลายทางนั้นต่อรถไม่ได้ ตั้งอยู่ในมุมอับ พอเราลงจากรถเลยพยายามเปิดแผนที่ดู นี่มันคือจุดที่เราลงจากรถจี๊ปนี่ย์ตอนเช้านี่นา แล้วตอนเช้าเราจะบ้าเดินย้อนเข้าไปถึงสถานีบัคคล้ารานทำไม เหตุใดจึงไม่ลงรถแล้วข้ามถนนมาขึ้นที่นี่ (โง่อีกแล้วเรา)  ณ จุดสถานี่เอ็ดซ่าเต็มไปด้วยมลพิษและฝุ่นควันจากรถยนต์ พอเดินลงบันไดมาก็เจอร้านขายน้ำผลไม้แบบตัก ด้วยความกระหายน้ำจึงลืมคำเตือนของการ์ดไปเสียสิ้น ว่าอย่าดื่มน้ำข้างทางอาจถูกวางยา เราสั่งน้ำมะม่วงมากินด้วยความกระหาย มันคือมะม่วงสุกปั่นน้ำสีเหลืองอ๋อย ไม่หวานมากรสชาติแปลกๆ แล้วเราก็เดินไปรอรถเมล์ที่ป้ายกะว่าจะติดรถสักคันไปลงใกล้ๆ ที่พัก วันนี้เหนื่อยแล้วขอพอแค่นี้ก่อน

                ท่ามกลางรถราที่วิ่งกันขวักไขว่ประกอบกับไม่สามารถจำสายของรถจี๊ปนี่ย์ขามาได้ เลยพยายามจับรถที่วิ่งไปทาง Roxas Boulevard กับ Coastal road ซึ่งเป็นถนนที่อยู่ใกล้กับที่พักมากที่สุด แต่เอาเข้าจริงเราก็มองป้ายข้างรถไม่ทันหรอก ต้องคอยฟังเสียงเด็กรถกับคนขับที่ประกาศว่าไปไหนบ้าง เรายืนสังเกตรถราไปเรื่อยๆ กอปรกับเข้าไปถามเป็นบางคันแต่ไฉนจึงไม่มีสายใดผ่านไปเลยล่ะ กะเหรี่ยงตกดอยแบกเป้ยืนงุนงงอยู่นาน จนรถจี๊ปนี่ย์คันหนึ่งแล่นมาจอด ข้างป้ายเขียนว่า SM Mall of Asia กับ via Coastal Road แน่นอนล่ะคันนี้ต้องวิ่งผ่านแน่ๆ เพราะจำได้ว่าไอ้เจ้าห้างใหญ่ยักษ์นี้อยู่ใกล้กับที่พักของเรามากที่สุด เลยกระโดดขึ้นรถไปทันที เอาล่ะอุ่นใจแล้วขึ้นไปได้ไม่นานรถวิ่งไปตามทางที่เรามาแต่พอถึงทางแยก Mall of Asia รถก็เลี้ยวเข้าห้างแล้วผู้โดยสารก็ลงไปจนเกลี้ยงคันรถ เหลือเรานั่งอยู่คนเดียว ทุกคนเดินลงไปจ่ายเงิน คนขับเดินออกมาพูดภาษาตากาล็อกใส่ เราก็ทำหน้างง จนสุดท้ายเค้าก็พูดภาษาอังกฤษว่ารถหมดระยะแล้วที่นี่ เราจ่ายค่าโดยสารไปแค่10เปโซ พร้อมกับเดินงงๆอยู่หน้าห้าง เวลาตอนนี้ก็5โมงเย็นแล้ว คนปินอยเลิกงานแล้วต่างก็มาจับจ่ายใช้สอยกันในห้างนี้ ซึ่งห้างมีขนาดใหญ่เทียบเท่ากับฟิวเจอร์พาร์ครังสิตบ้านเราเลย เป็นห้างยาวจากหน้าถนนจนไปจรดทะเลเลย
SM Mall of Asia สาขานี้เป็นสาขาที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
 SM Mall เป็นห้างที่มีสาขาทั่วไปในฟิลิปปินส์

                เราแหงนหน้าดูท้องฟ้า แลเห็นก้อนเมฆดำปี๋ ท้องก็ยังไม่หิวแถมตัวยังเหม็นเหงื่ออีก กลับที่พักไปอาบน้ำแล้วค่อยตะลุยต่อดีกว่า แต่จะเดินกลับได้ไงล่ะ เพราะที่นี่ไปที่พักก็ไกลอยู่แถมอาจจะหลงทางเอาได้ง่ายๆ พอดีพลันเหลือบไปเห็นคนที่มาซื้อของกำลังต่อคิวเรียกแท็กซี่ที่ทางห้างจัดให้บริการอยู่ สันดานติดสบายผุดขึ้นมาฉับพลัน ถ้าเราได้นั่งแท็กซี่มิเตอร์กลับก็คงดีคงไม่แพงนัก ในที่สุดเราตัดสินใจไปยืนต่อแถวเพื่อเรียกแท็กซี่ด้วย พอถึงคิวเรา เราก็ขึ้นรถ คราวนี้แท็กซี่กดมิเตอร์ดีนะค่อยยุติธรรมหน่อย ราคาเริ่มต้นประมาณ50เปโซ เราบอกว่าไป มะนิลา ยูทโฮสเทล เค้าบอกไม่รู้จักอยู่แถวไหน ดีนะที่พกแผนที่มาด้วย เราเลยเปิดแผนที่ให้เค้าดู เค้าก็เลยอ๋อและขับไปตามทาง แล้วเค้าก็หันมาถามต่อว่าแยกไหน เอาอีกแล้วสงสัยเจ้ารถคันนี้ขับมาไม่นานแน่นอน เราก็บอกวิ่งไปตามทางเรื่อยๆ พอรถวิ่งผ่านปั๊มน้ำมันสีเขียวเท่านั้นแหละ “Wait Wait just turn left”  เราสั่งให้เค้าเลี้ยวซ้ายเข้าซอยทันทีแล้วจอด เค้าก็ร้องอ๋อที่แท้มันอยู่ตรงนี้นี่เอง ค่าเสียหายทั้งหมด55เปโซเอง จุดนี้จำเป็นมากนะครับเวลาเดินทางไปไหนมาไหนในฟิลิปปินส์โดยรถแท็กซี่เนี่ย ก่อนอื่นควรจะทราบก่อนว่าตัวเองจะไปที่ไหนและจะต้อรู้ด้วยว่าสถานที่นั้นอยู่ถนนช่วงไหน แยกไหน หรือจุดนั้นมีจุดสังเกตเด่นๆคืออะไร เพราะเมืองมะนิลาเป็นเมืองที่ใหญ่มาก ต่อให้เค้าขับรถมานานก็มิอาจทราบรายละเอียดได้ทั่วทุกซอกทุกมุมของกรุงมะนิลาหรอก

แสงสุดท้ายของวัน ริมถนน Roxas ก่อนเข้าที่พัก

                เราลงจากรถตะวันคล้อยต่ำจวนตกดินริมถนน Roxas พอดี เลยได้แชะภาพสักนิดก่อนเข้าห้องพักอาบน้ำทำธุระส่วนตัวและแอบงีบไปทั้งที่ตะวันทับตา ซึ่งคนโบราณเค้าไม่ให้นอนนะเวลานี้  เราตื่นขึ้นมาอีกทีฟ้าก็มืดแล้ว อ้าวจะสองทุ่มแล้วนี่ เลยแต่งตัวออกไปทานข้าวเย็น คิดว่าน่าจะอยู่ใกล้ๆกับที่พักนี่แหละ ถนนข้างนอกมืดเปิดไฟน้อยมาก เราชั่งใจอยู่ว่าจะเอากล้องออกไปถ่ายรูปดีหรือไม่ เลยลองเดินออกไปหน้าโรงแรม โอ้โหทั้งมืดและเปลี่ยวมาก ถึงจะมีรถวิ่งก็ตามแต่ไม่มีคนเดิน เห็นแบบนี้แล้วเก็บกล้องไว้ที่ห้องเลย และเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อกล้ามกะกางเกงขาสั้นรองเท้าแตะออกไปกินข้าว จะได้กลมกลืนไปกับคนพื้นเมือง
                เราเดินออกไปเนียนๆ ไปตามทางมืดๆของถนน Thomas Claudio เราติดเงินสดมานิดหน่อยเองแค่200เปโซ ด้านขวามือเป็นร้านชำที่ผู้ซื้อไม่มีโอกาสได้ไปยืนเลือกของ เพราะเค้าล้อมด้วยลูกกรงแบบห้างทอง การซื้อขายจะซื้อกันผ่านลูกกรงเท่านั้น อะไรกันนี่ ย่านนี้น่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ แล้วคุณภาพชีวิตของเจ้าของร้านจะเป็นอย่างไร เมื่อต้องแวดล้อมไปด้วยความน่าสะพรึงกลัวเราเดินผ่านย่านสลัม เห็นชาวบ้านนำเตามาตั้งประกอบอาหารกันริมถนนทานกันแบบตามมีตามเกิด  พอเราเดินถึงสี่แยกแล้วเลี้ยวซ้ายก็เริ่มเจอร้านขายอาหารบ้างแล้ว แต่ดูไม่ค่อยสะอาดเท่าไร เดินต่อไปจนถึงสี่แยกใหญ่ก็เจอร้านสะดวกซื้อเซเว่นฯ และร้านแมคโดนัลด์ มีคนนั่งกินในร้านเพียบ จนเราเดินไปเจอร้านข้าวแกงพื้นเมืองเจ้าหนึ่งดูสะอาดใช้ได้ เลยไปชี้ที่ตู้กับข้าวเราเอาสตูหมูสามชั้น (อะโบโด) ราดข้าว และฟักทองผัดกะทิ พอเค้าตักเสร็จปรากฏว่าเค้าตักกับข้าวมาต่างหาก ด้วยเหตุผลที่ว่าถ้านำกับไปราดข้าวแบบคนไทยที่ทำกันนั้นมันดูไม่น่ากินและรสชาติอาหารจะปนกันไปหมด คนขายเค้าอธิบายแบบนั้นต้องเข้าใจ มื้อเย็นที่เราทานนี้ รสชาติออกหวานนำ และความมันจากฟักทองผัดกะทิ และความเปรี้ยวหวานของหมูสามชั้น ไม่มีรสเผ็ดของอาหารเลย เราทนกินจนหมดด้วยว่ากลัวจะหิวตอนกลางคืนแล้วจะออกมาซื้อของลำบาก คิดเงินไป65เปโซเอง อิ่มแล้วเราก็เดินกลับมาทางเดิม กลับมาเขียนไดอารี่สักพักก็ม่อยหลับไปก็เล่นเดินเยอะมาทั้งวันนี่

ตอนต่อไปจะพาทุกท่านไปชมสวนสาธารณะ Rizal Park กันแต่เช้าครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น