คนขับหันมาถามเราระหว่างที่ถีบรถไปว่าต้องการไป Manila Cathedral มั้ย เราตอบตกลงโดยลืมดูเวลาไปเลยว่าเราใช้บริการเค้าเกิน2ชั่วโมงแล้ว ดูเหมือนเค้าคงอยากไปทำธุระต่อกระมัง รถวิ่งข้ามถนนใหญ่มายังหน้าโบสถ์ที่เราแลครั้งแรกก็ร้องอู้ฮู เพราะทั้งยิ่งใหญ่และขลังมากสมคำร่ำลือ สร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1571 และถูกทำลายโดยการทิ้งบอมบ์สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง และสร้างขึ้นใหม่ในปีค.ศ.1951 ภายในมีแท่นบูชา ออแกนขนาดยักษ์ ห้องสารภาพบาป มีการตกแต่งประดับประดาด้วยสเตนกลาสส์อย่างสวยงาม รูปปั้นปิเอตา (Pieta) ที่สลักจากหินอ่อนอย่างอ่อนช้อยเป็นรูปพระแม่มารีอุ้มพระเยซูที่ถูกตรึงกางเขน ภายในห้องโถงใหญ่มีม้านั่งยาวมีผู้คนมานั่งสวดมนตร์อ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้า ทุกสิ่งอยู่ในความเงียบสงัดไม่มีแม้แต่เสียงพูด รูปปั้นพระแม่มารีตั้งตะหง่านอยู่บริเวณประตูทางเข้าโบสถ์ ยามที่ทุกคนเดินผ่านล้วนแต่เอามือแตะที่ฐานรูปปั้นจากนั้นก็สวดมนต์ แล้วเอามือแตะหน้าผากตนเองและไหล่ทั้งสองข้างซ้ายและขวาตามลำดับ ปฏิบัติเช่นนี้ทุกคน รูปเคารพนี้คงมีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่สักการบูชาแก่ชาวเมืองมะนิลา มีกระป๋องรับบริจาคเงินทำไว้เก๋ไก๋ไม่หยอก เพื่อช่วยเหลือเด็กผู้ยากไร้ ภายในมีพิพิธภัณฑ์ที่แสดงประวัติความเป็นมาของโบสถ์ตั้งแต่ก่อสร้างจนถึงปัจจุบัน มีรูปภาพฝาผนังและประติมากรรมนูนต่ำปูนปั้นสวยงาม เกี่ยวกับประวัติพระคริสต์ ห้องสารภาพบาปออกแบบมาได้เล็กกะทัดรัด จนได้เวลาอันควรเราก็ออกมาด้านหน้าของโบสถ์ซึ่งมีอาคารสถานที่ราชการตั้งตระหง่าน ตึกใหญ่โตมากๆ และลานอนุสาวรีย์ Al Rey D Carlos น่าจะเป็นชาวสเปนนะ และแล้วเราออกมาด้านนอกตรงจุดนัดพบบอกให้คนขับพาไปยังสถานที่สุดท้ายนั่นคือ Fort Santiago
Manila Cathedral
เบื้องหน้าของโบสถ์ใหญ่แห่งกรุงมะนิลา
อนุสาวรีย์Al Rey D Carlos หน้าโบสถ์ใหญ่
รูปปั้นปิเอต้าของจริงสลักจากหินอ่อนตั้งอยู่ภายในโบสถ์ และภาพประติมากรรมคริสต์ประวัติ
รูปปั้นปิเอตาภายใต้กระจกสเตนกลาสที่หาชมได้ยากในเอเชีย
ความงดงามของสเตนกลาสส์ และรูปปั้นเด็กน้อยคอยรับเงินบริจาคจากผู้ใจบุญ
ภาพจิตรกรรมสาวฟิลิปปินส์ในชุดประจำชาติ
รูปปั้นพระแม่มารีและบานประตูโบสถ์แบบโบราณทำจากไม้เนื้อแข็ง
แท่นบูชาพระเยซูคริสต์ด้านในของโบสถ์
ชาวคริสต์กำลังสวดขอพรจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างสงบ
ชาวคริสต์จะนำมือแตะรูปปั้นแล้วขอพร จากนั้นจะแตะที่หน้าผากตนเองและไหล่ทั้งสองข้างตามลำดับ
ห้องสารภาพบาปออกแบบมาอย่างน่ารักกะทัดรัดดี
เพดานโบสถ์ที่สูงและโอ่โถงทำให้อากาศภายในโบสถ์เย็นสบาย
ทำเนียบนามอาร์คบิช็อพตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันของมะนิลา
ความงามของโค้ง (Arch) แบบสไตล์โรมัน
สถานที่ราชการขนาดใหญ่ข้างโบสถ์มะนิลา
รถสามล้อขี่ผ่านย่านของกินในเขตเมืองเก่า กลิ่นนมเนยของฟาสต์ฟู้ดลอยขึ้นมาแตะจมูก คนขับถามว่าหิวมั้ยจะแวะทานก่อนก็ได้นะ เราตอบว่าเที่ยวให้จบแล้วค่อยทานทีเดียว เค้าแนะนำให้ไปทานอาหารสเปนและอาหารอิตาเลียนอันขึ้นชื่อของที่นี่ เราตอบว่าไม่หรอก อยากทานแบบพื้นบ้านมากกว่า เค้าตอบตกลงว่าเดี๋ยวจะหาร้านพื้นบ้านให้ และแล้วรถก็พาเรามาถึงป้อมปราการซานติอาโก (Fort Santiago ) มีทั้งเด็กนักเรียนเข้ามาทัศนศึกษาเป็นหมู่คณะและนักท่องเที่ยวรอเข้าชมเยอะมาก ภายในนั้นมีบริการรถม้านำเที่ยวและรถไฟจำลองนำเที่ยวด้วย คาดว่าคงถูกใจน้องๆหนูๆแน่นอน อันป้อมปราการซานติอาโกนี้สร้างมาติดกับแม่น้ำปาสิก (Pasig River ) ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการรับมือข้าศึกศัตรู เดิมเป็นป้อมทหารของสเปน ปัจจุบันเป็นอนุสรณ์สถานที่ระลึกถึง Dr. Jose Rizal (ดอกเตอร์ โฮเซ่ ริซัล) ผู้ถูกจองจำที่นี่จนสิ้นชีวิตในปีค.ศ. 1896 ในยุคสมัยแห่งการต่อต้านอาณานิคมสเปน
ฟาสต์ฟู้ดชื่อดังร้าน Chowking
Fort Santiago บริเวณทางเข้ามีทัวร์นักเรียนมาลง
รถไฟเล็กให้บริการนำชมรอบเมือง เอาใจน้องๆหนูๆ
ปฏิทิณงานกิจกรรมต่างๆ ภายในอินทรามูรอส
เด็กนักเรียนเข้ามาทัศนศึกษาโบราณสถานแห่งมะนิลา
รถม้าจอดรอให้บริการนักท่องเที่ยวภายใน
ถ้าจะให้ซึมซับบรรยากาศกลิ่นอายเม็กซิกันให้นั่งรถม้าแบบนี้
คนขับบอกว่าจะรอเราข้างนอกตรงจุดจอดรถ เราตอบตกลง นักเรียนเดินเรียงแถวเข้าไปทัศนศึกษาข้างใน ภายในมีการจัดสวนและตกแต่งภูมิทัศน์อย่างงดงาม เราเสียค่าเข้า75เปโซ ชาวต่างชาติเสียค่าเข้า 220เปโซ เรานึกกระหยิ่มในใจนี่คือผลพลอยได้จากการที่มีหน้าตาคล้ายคนพื้นที่ ฮิฮิ เราก็เลยตามเลยเดินตามน้ำไป ภายในมีรถม้าจอดให้บริการนักท่องเที่ยวเยอะมาก เห็นบรรดาครูพารักเรียนเข้าทัศนศึกษาแล้วเด็กคงซน แกทำหน้าเอือมระอาแล้วนึกย้อนไปสมัยที่เรายังเด็กเลย และแล้วความอลังการของ Fort Santiago เรียกว่า “ฟอร์ท ซานติอาโก้” ก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ถึงแม้จะไม่ยิ่งใหญ่แต่ก็คงไว้ซึ่งมนต์ขลังสมัยอาณานิคมสเปน เค้าก่อด้วยหินแบบเรียบง่าย มีการแกะสลักลายเพียงเล็กน้อย สร้างสมัยปีค.ศ. 1571 โดยกองกำลังทหารของสเปน ภายในเป็นเสาหลักเมือง และเป็นที่คุมขังนักโทษสมัยสงครามโลกครั้งที่2 ป้อมแห่งนี้เป็นสถานที่ถ่ายรูปงานแต่งงานอย่างดีของฟิลิปปินส์เพราะสถานที่สวยมาก บ่าวสาวจะนิยมมาถ่ายรูปแต่งงานที่นี่โดยมีรถม้าเป็นองค์ประกอบฉาก กอปรกับเงาสะท้อนจากพื้นน้ำจากบ่อที่ขุดไว้
ไม่แน่ใจว่านี่คือตำรวจท่องเที่ยวหรือยามรักษาความปลอดภัย
เงาสะท้อนน้ำของ Fort Santiago ที่นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายรูปกันที่นี่
ด้านซ้ายเป็นมุมที่มักจะปรากฏในสตูดิโอแต่งงานบ่อยๆ
ภายในป้อมรกครึ้มไปด้วยเถาวัลย์
มุมด้านหน้าของทางเข้าที่คู่รักมักจะมาถ่ายรูปแต่งงาน รวมไปถึงงานถ่ายแฟชั่นทั่วไป
คุณครูพานักเรียนตัวน้อยมาทัศนศึกษา
ลองสังเกตุดูสิ เด็กปินอยหน้าตาเหมือนเด็กไทยเลย
เมื่อเดินลอดซุ้มเข้าไปภายในจะพบเถาวัลย์ปกคลุมป้อมอยู่เป็นจำยวนมากจนครึ้มเขียว ภายในเป็นสวนสาธารณะ มีอนุสาวรีย์ตั้งเด่นอยู่ ถัดไปอีกจะเป็น Rizal Shrine หรือเสาหลักเมือง เมื่อเดินจนสุดทางปลายป้อมปราการจะได้สัมผัสอีกมุมหนึ่งของมะนิลาที่สวยงาม เพราะเป็นวิวติดแม่น้ำปาสิก (Pasig River ) มองแล้วคล้ายกับแม่น้ำเจ้าพระยาบ้านเรามากๆ มีทั้งผักตบชวาและเรือสินค้าเต็มไปหมด บางจุดของป้อมเป็นหลุมลงไปหลบภัยคล้ายที่คุมขัง มีเศษเหรียญก้นหลุมมากมายถ้าเก็บขึ้นมาหมดนี่คงรวย สงสัยคนมาเที่ยวเค้าคงหันหลังอธิษฐานแล้วโยนเหรียญกันมั้ง เราเดินไปตามกำแพงสูงไปเรื่อยจนสุดทางแล้วต้องเดินลงมิฉะนั้นตกแม่น้ำแน่ๆ เราเดินลอดซุ้มออกทางเดิมจนกระทั่งเจอเหยื่อเข้าจนได้
สวนสวยมีอนุสาวรีย์ตั้งตระหง่านอยู่
ภาพจากมุมด้านล่างทำให้ท่านดูเคร่งขรึม
คณะครูและนักเรียนชุดเดิมเดินชมสวนสวย
ความเชื่อของคนมาเที่ยวที่คิดว่าถ้าโยนเหรียญแล้วเราจะได้กลับมาเยือนอีกครั้ง
บรรยากาศสวยๆของป้อมริมแม่น้ำ เห็นคนยืนอยู่อย่างเดียวดาย
อีกมุมหนึ่งของบริเวณป้อมริมแม่น้ำ
หากข้ามฝั่งไปจะเป็นย่านชุมชนคนจีนในมะนิลา (China Town)
มองแม่ย้ำในบางมุมก็คล้ายกับแม่น้ำเจ้าพระยาบ้านเรา
Fort Santiago ยามมองจากมุมสูง
ทางเข้าออกที่นี่มีอยู่ทางเดียวทรุดโทรมไปตามกาลเวลา
รถรางให้บริการนำเที่ยวภายใน
จุดบริการนักท่องเที่ยวสร้างได้อย่างกลมกลืนกับพื้นที่
เหยื่อที่ว่านั้นคือ เด็กนักเรียนสาวชาวปินอยนั่นเอง พวกเธอกำลังถ่ายรูปเล่นกันเองอยู่ พอเห็นกล้องใหญ่อย่างเราปุ๊บ พวกคุณเธอก็แอ๊คท่าพร้อมให้ถ่ายรูปทันที สุดท้ายก็เลยได้มาถ่ายรูปร่วมกันเห็นแล้วนึกถึงความมีไมตรีจิตของคนไทยที่เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวเสมอ ชาวปินอยก็เป็นเช่นนั้นเมื่อเห็นนักท่องเที่ยวก็สามารถผูกมิตรไมตรีได้อย่างรวดเร็ว เราเริ่มสร้างบทสนทนากัน พวกเธอเรียนแค่ครึ่งวันเช้าก็เลยแวะมาเดินเที่ยวถ่ายรูปกัน พวกเธอถามว่าเรามาจากไหนดูแล้วไม่น่าจะเป็นฮ่องกง เกาหลีหรือญี่ปุ่น นั่นไงช่วยไม่ได้ดันเกิดมาไม่ขาวเสียเองนี่นา พวกเธอเดาไปต่างๆนานา ว่าเป็นอินโดบ้าง มาเลเซียบ้าง สุดท้ายเราต้องเฉลยว่ามาจากเมืองไทย พวกเธอบอกอเมซซิ่ง คนไทยมาเที่ยวที่นี่น้อยมาก มีแต่ชาวปินอยเข้าไปทำงานที่เมืองไทย สุดท้ายพวกเธอก็ระลึกได้ว่ากรุงเทพฯเป็นเมืองที่ถูกเผาไปเร็วๆนี้เองนี่คะ เอาอีกแล้วตอนไปสิงคโปร์ก็มีคนถามถึงเรื่องนี้ มาฟิลิปปินส์ก็เอาอีกแล้ว เราก็ต้องตอบไปตามประสานักท่องเที่ยวที่ดีว่า เดี๋ยวนี้ปลอดภัยแล้วครับ
ลีลาของสาวปินอยเมื่อแรกเริ่มถูกแอบถ่าย
ลีลาแอ็คท่าของสาวปินอยเมื่อตั้งใจถ่าย โปรดสังเกตท่าโพสแต่ละคน
สุดท้ายเราก็ต้องไปถ่ายด้วย
ลีลาแอ็คท่าของสาวปินอยเมื่อตั้งใจถ่าย โปรดสังเกตท่าโพสแต่ละคน
สุดท้ายเราก็ต้องไปถ่ายด้วย
แล้วเราก็แลกอีเมล์กับพวกเธอและสัญญาว่าจะแอดเฟซบุคและส่งเมล์ภาพไปให้ จนได้เวลาอันสมควรจึงเดินออกมาจากประตูด้านหน้าก็พบว่าคนขับยืนรออยู่แล้ว ตายล่ะ เราใช้เวลาทั้งหมด3ชั่วโมงได้แล้วมั้ง บ่ายสามแล้วลืมกินข้าวกลางวันไปเลย เค้าเริ่มถามอีกครั้งว่าเราอยากไปทานข้าวร้านไหน เราตอบว่าอยากได้ร้านแบบเป็นกับข้าว หรืออาหารจานเดียวแบบพื้นเมือง แล้วเราจะเลี้ยงคุณด้วย เค้าปฏิเสธพร้อมกับคำนวณเวลาทั้งหมดที่เราเหมาเค้ามาอย่างทันทีว่าคุณใช้เวลามากกว่า3ชั่วโมง ดังนั้นที่ตกลงกันไว้ราคาจะอยู่ที่ 720เปโซ ตายแล้วอะไรกันนี่ แพงมากๆ นี่แหละผลของการไม่คิดอย่างรอบคอบว่าในจำนวนสถานที่ทั้งหมดมันจะต้องเสียเวลาในแต่ละจุดนั้นไม่น้อยเลย ตอนแรกเข้าใจว่าในพื้นที่4ตารางกิโลเมตรนั้น นั่งรถประเดี๋ยวก็คงทั่ว แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย กว่าจะหมดรายการในลิสต์ที่เขาจะพาไปก็หลายชั่วโมง เราต่อรองราคาจนเหลือ 600เปโซ เค้าเริ่มชักสีหน้าไม่พอใจแถมจะขอค่าทิปอีก จนในที่สุด Best Price ก็เคาะมาอยู่ที่ 650เปโซ เราต้องจำใจจ่ายค่านำเที่ยวไป คิดเป็นเงินไทยก็ราวๆ455บาท ไม่น้อยเลย แต่ยังไงก็คงดีกว่าเดิน เพราะเดินเองก็คงจะไม่ทั่วทุกจุด ผลเสียของการเดินเที่ยวแบกเป้คนเดียวมันอยู่ตรงนี้แหละ คือเวลาเดินทางจะเสียค่ารถเหมาในราคาแพงเพราะไม่มีคนช่วยหารนั่นเอง
ตอนต่อไปจะว่าด้วยเรื่องอาหารการกินของชาวฟิลิปปินส์ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น