วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เที่ยวสิงคโปร์ในราคาประหยัด ตอนที่ 9 Suntec City สุดยอดอาคารแห่งฮวงจุ้ย

                เราขึ้นรถเมล์ในจุดเดิมเพื่อไปยังห้างเดิมเราจะได้ขึ้นรถไฟฟ้าไปลงที่สถานี Bugis เพื่อกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ที่พักที่เราได้ฝากกระเป๋าไว้ รถใช้เวลาเกือบชั่วโมง กลับมาก็พบกับความมหัศจรรย์ของย่าน Little India วันนี้เป็นวันอาทิตย์คนเชื้อชาติอินเดียต่างหยุดงานมาจับจ่ายซื้อของสดที่ตลาดและซื้อของใช้ในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงได้มาพบปะเพื่อนฝูง ทำให้ย่านการค้าภารตะเนืองแน่นเบียดเสียด กว่าร้อยละ70ของคนมาเดินเป็นผู้ชาย คงเป็นแรงงานที่มาทำงานกันที่นี่ทุกคนเดินกันไวมาก เดินฉับๆ ซื้อข้าวของกันเยี่ยงงานแจกฟรี
 ตลาด Little India ยามเย็นเต็มไปด้วยคนมาจับจ่ายอาหาร
 ร้านอาหารอินเดียแบบมังสวิรัติที่เราแวะเข้าไปฝากท้องประจำ

            เรากลับเข้ามาอาบน้ำแล้วฝากกระเป๋าต่อ อาเจ๊เจ้าของบอกว่า อย่าลืมกลับมาให้ทันห้าทุ่มนะคะ เราเดินออกจากที่พักไปตามทางที่ไปสถานี Bugis แล้วเราก็เดินข้ามถนนไปอีกเรื่อยๆ เป็นการออกกำลังขา ก็เห็นกลุ่มอาคารชนาดยักษ์ตั้งอยู่ 5อาคารด้วยกัน เห็นชื่อที่ใต้อาคารเขียนอยู่ว่าเป็นกลุ่มอาคารเทมาเส็ก (Temasek) เอชื่อนี้คุ้นๆนะ แต่ไม่ขอเอ่ยต่อดีกว่า เดี๋ยวโดนแบน อิอิ เค้าว่ากันว่ากลุ่มอาคารทั้งห้านี้เถือว่าเป็นสุดยอดแห่งอาคารฮวงจุ้ยที่ทำเลดีที่สุดในเอเชีย เป็นกลุ่มอาคารของผู้ถือหุ้นตระกูลเทมาเส็กผู้มั่งคั่ง มิน่าถึงสร้างได้ยิ่งใหญ่อลังการมากๆ
 อาคาร Suntec City
 ถนนหนทางที่ดูสะอาดสะอ้านในเย็นวันอาทิตย์ของย่านธุรกิจ
 นี่แหละอาคารที่5แห่งถนนเทมาเส็ก
 น้ำพุแห่งความร่ำรวย (Fountain of Wealth)

                ไฮไลท์ของกลุ่มอาคารนี้อยู่ที่การเปิดน้ำพุแห่งความร่ำรวย (Fountain of Wealth) ถือเป็นสุดยอดแห่งน้ำพุฮวงจุ้ยซึ่งจะเปิดแสดงเป็นรอบๆ รอบละประมาณครึ่งชั่วโมง เราไปได้เวลาเปิดน้ำพุพอดีตอนหกโมงเย็น สมกับการยกย่องว่าเป็นน้ำพุที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก เราแวะถ่ายรูปแล้วก็ลงใต้ดินเพื่อเดินช็อปปิ้งต่อ เพราะด้านล่างของกลุ่มอาคารเหล่านี้ได้แปรเป็นศูนย์การค้าใต้ดินที่ยาวที่สุด เดินกันจนให้เมื่อยไปข้างนึงเลย เราเลยฝากท้องมื้อเย็นนี้ไว้กับฟาสต์ฟู้ดอิตาเลียนเจ้าหนึ่ง สั่งชุดสปาเก็ตตี้พร้อมโค้กมาในราคา $15.5 ทานกันให้อิ่ม
Singapore Sightseeing Bus มีให้เห็นทั่วไป
ยอดตึกอาคารทั้งห้าในยามเย็น

เราจะต้องเดินทางไปเก็บตกช็อปปิ้งย่าน ออชาร์ดกันต่อ ทางเดินใต้ดินที่นี่เป็นอุโมงค์ยาวมาก สามารถบรรจบสถานีใต้ดินได้หลายสาย เราลงต่อรถใต้ดินเพื่อไปยังสถานี Orchard ครั้งนี้เราจะไปเที่ยวห้าง Ion ซึ่งถือว่าเป็นห้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ เมื่อสามปีที่แล้วยังไม่มี เป็นห้างที่ได้รวบรวมของแบรนด์เนมชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลกดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่  www.ionorchard.com/ion-store-guide นอกจากนี้ยังมีห้างที่อยู่ใกล้ๆกัน อาทิ Wisma Arita ห้าง Tangs มี่แสนจะเก่าแก่อายุร่วม30ปี ห้างTakashiyama แหล่งรวมร้านค้าแบรนด์เนมชื่อดัง ห้างParagon ที่ตั้งชื่อเหมือนบ้านเรา และห้างLucky Plaza  file:///D:/เบ็ดเตล็ด/ตั๋วเครื่องบิน/เที่ยวสิงคโปร์ในราคาประหยัดๆ%20กับ%20Icyjuicy.docที่ภายในเปิดให้เช่าร้านค้าคล้ายกับห้างมาบุญครองบ้านเรา ขายของตั้งแต่ของถูกๆยันของแพงลิบ  บริเวณย่านออชาร์ดนี่แหละที่เราจะได้เจอกับคนไทยมากมายมากันเป็นกลุ่มๆ มาจับจ่ายซื้อของกัน ร้านเสื้อผ้าที่ราคาถูกกว่าไทยเยอะเห็นจะมีพวก Giordano G2000 Bossini Esprit TOPSHOP Mango ฯลฯ บรรยายไม่หมด วิธีการเซลของเค้าก็แสนง่ายแค่ 3for2 แค่นี้คนก็ซื้อกันเยอะแล้ว นี่ยังไม่รวมพวกที่แปะป้ายว่า only $6.90  $9.90 อีกนะ เห็นเพื่อนคนไทยหลายท่านกวาดเสื้อผ้าเหล่านั้นลงตะกร้าแบบคละไซด์ราวกับว่าเอาไปขายต่อในเมืองไทย

 Cartier Boutique แห่งห้าง Takashiyama
 Peng Kwee เป็นร้านขายนาฬิกาทือสองพวก Rolex ในห้าง Lucky Plaza
 ร้านขายนาฬิกามือหนึ่งซึ่งลดราคาในห้าง Lucky Plaza
 มุมหนึ่งใน Lucky Plaza
ร้านนาฬิกาสุดหรูในห้าง Paragon ราคาจะตำกว่าเมืองไทยนิดหน่อย

                เมื่อสมควรแก่กาลเวลาประมาณ 4ทุ่ม ห้างเริ่มปิดได้เวลาที่เราจะต้องกลับไปที่พักเพื่อขนกระเป๋ามาสนามบินแล้ว เนื่องจากเที่ยวบินที่เราจะบินกลับเป็นเที่ยวเช้ามืด ดังนั้นเราควรจะไปนอนแถวสนามบิน  แต่เดี๋ยวเรื่องอะไรเราจะไปจ่ายค่าโรงแรมกับการนอนเพียงไม่กี่ชั่วโมง ว่าแล้วเราก็นอนสนามบินมันซะเลย ได้ข่าวมาว่าที่สนามบินชางฮีนี้แหละที่มีความปลอดภัยสูงแห่งหนึ่งในโลก และกว้างขวางและเงียบพอที่จะนอนได้  เรานั่งรถ MRT เที่ยวสุดท้ายเพื่อมาที่สนามบินมาถึงสนามบินประมาณห้าทุ่มครึ่ง พอเราเดินออกมาจากรถได้ไม่นานก็มีประกาศ Final call ตามสายว่านี่คือรถเที่ยวสุดท้ายที่จะพากลับเข้าเมือง ขอให้ผู้ที่จะเดินทางเข้าเมืองรีบหน่อย  ก็เห็นว่าผู้คนในสนามบินวิ่งกันหน้าตาตื่น ส่วนใหญ่เป็นวัยนักศึกษาที่มาอาศัยสนามบินเพื่ออ่านหนังสือและติววิชากันวิ่งกันขาแทบขวิด สงสัยที่นี่คงเงียบสงบดีมั้ง มาอ่านหนังสือแล้วคงซึมซับเข้าสมองได้ดียิ่งนัก

 สุดท้ายกระเป๋าก็งอกขึ้นมาอีกใบเป็นใบที่สามจนได้ โชคดีที่นำหนักยังไม่เกิน
 ตารางบอกเวลาการบินของไฟล์ทเช้าตรู่
 สิ่งของต้องห้ามที่ห้ามนำขึ้นเครื่องได้แก่พวกของเหลวที่อาจจุดไฟติด

                เราสะพายเป้ถือกระเป๋าทั้งหมดสามใบ จำได้ว่าตอนขามาเราถือมาแค่สองใบนะ แต่ตอนนี้งอกเป็นสามเฉยเลย มาจากช็อคโกแลตของโปรดกับเสื้อผ้าTopman นั่นแหละ เพราะร้านที่เซนทรัลเวิลด์โดนเผาไปแล้วไง เลยต้องมาซื้อที่นี่แทน  เดินสะพายกระเป๋าผ่านตาชั่งกระเป๋าเห็นสาวฟิลิปปินส์สามคนกำลังเล่นแร่แปรธาตุถ่ายโอนของในกระเป๋าเดินทางอยู่ ก็คุณเธอเล่นเหมาของไปขายนี่ ทำอย่างไรน้ำหนักกระเป๋าก็เกินอยู่ดี เราเลยขอเค้าลัดคิวชั่งน้ำหนักหน่อย ปรากฏว่าของเราสามใบก็ยังไม่เกิน15กิโล เก่งมะ  เรานั่งรถเชื่อมต่อสนามบินไป Terminal1 เพื่อหาที่นอนในสนามบิน หลายคนนอนยาวบนเก้าอี้ บ้างนอนกับพื้น พอเราหาทำเลได้ เราก็เอาเสื้อหนาวที่เพิ่งซื้อมาใส่แล้วเอากระเป๋าใบหนึ่งหนุนหัว อีกใบก็นอนกอดไว้ หลับๆตื่นๆ ตามเสียงเรียก Final Call ของเที่ยวบินลอดมาตามโสตประสาทเป็นระยะๆ ไม่ไหวแล้วในที่สุดความเมื่อยล้าก็นำพาเราสู่การนิทรา Zzzzzzzzz
            แสงสว่างของพื้นที่และเสียงประกาศที่ดัง ทำให้เรารู้สึกตัวตั้งแต่ตีห้าครึ่งผู้คนเริ่มพลุกพล่าน เราตื่นขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน และเตรียมตัวเข้าเช็คอินซึ่งประตูเปิดประมาณ6โมงกว่า ลาแล้วจ้าเมืองสิงคโปร์ ถ้ามีโอกาสอีกเค้าจะแวะมาเที่ยวนะ รอให้โรงแรมลอยฟ้าเสร็จก่อนแล้วเจอกัน

บล็อกต่อไปจะเขียนบรรยายเกี่ยวกับประเทศฟิลิปปินส์อย่างละเอียด  อย่าพลาดนะ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น