วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แบกเป้เที่ยวฟิลิปปินส์ตอนที่8 Ermita & Malate Church ณ ที่แห่งนี้ ความรักตราตรึงหัวใจสองคนไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย

                ในศาสนาคริสต์นั้น การให้ความรักแก่กันและกันนั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ดังนั้นในพิธีแต่งงานซึ่งถือเป็นการประกาศความรักและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันจนชั่วฟ้าดินสลายนั้นจึงเป็นสิ่งที่ชาวคาทอลิกให้ความสำคัญมากที่สุด
เราแวะจอดที่เพิงร้านค้าแวะซื้อชามะนาวเติมพลังซักหน่อยแล้วเปิดแผนที่ดูต่อ เพื่อจะเดินทางสู่ย่านแอเรอร์มิต้า (Ermita) คนพื้นเมืองออกเสียงลิ้นรัว ร เรือ อย่างแรง หากออกเสียง เออร์มิต้า แบบทั่วไป ชาวปินอยคงส่ายหัวฟังไม่รู้เรื่องแน่ๆ เราเดินข้ามถนนเส้นหลัก Roxas อีกแล้ว ถนนเส้นนี้มีความยาวมากๆ  พอข้ามไปก็เจอย่านที่ค่อนข้างหรู มีโรงแรมระดับสี่ดาวขึ้นไปและร้านรับแลกเงินมากมาย ย่านนี้มีโรงแรมและที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ เดินอีกสักพักก็ถึงโบสถ์เออร์มิต้า (Ermita Church) ซึ่งสร้างอย่างเรียบง่ายภายในมิได้ตกแต่งหรูหราอลังการมากนัก เป็นสถาปัตยกรรมแบบใหม่ซึ่งทราบมาภายหลังว่าโครงสร้างแบบเดิมได้ถูกทำลายพินาศไปด้วยไฟสงครามโลกครั้งที่สอง  ในบริเวณโบสถ์มีโรงเรียนคาทอลิกที่สอนศาสนาด้วย
 Ermita Church
 ภายในโบสถ์ Ermita
โรงเรียนคาทอลิกสอนศาสนา

เราออกจากโบสถ์มายืนรอรถด้านหน้า มีรถจี๊ปนี่ย์วิ่งผ่านมากมาย ใช่ละเราอยากไปย่าน Malate อ่านว่า มาลาเต้ซึ่งย่านนี้จะอยู่ติดกับทางเดินริมอ่าวมะนิลา (Manila Bay)  เห็นแล้วรถจี๊ปคันนึงวิ่งมาด้านข้างรถเขียนแปะว่าไปมาลาเต้ กระโดดฉับขึ้นทันทีค่าโดยสารแสนถูก10เปโซเอง ถนนแคบๆเพียงสี่เลนรถเริ่มติดนิ่ง เคลื่อนตัวได้แบบช้ามากต้องเอาผ้าเช็ดหน้าอุดจมูกบ้าง คนในรถไม่มีใครอุดจมูกเลยแต่กลับรำพัดกันใหญ่ สักพักรถแล่นผ่านโบสถ์โบราณขนาดใหญ่ ผู้โดยสารบนรถทุกท่านต่างนำมือขวาแตะหน้าผากและแตะไหล่ซ้ายขวาพร้อมสวดพึมพำแบบได้ยินไม่ชัด ใช่แล้วที่นี่ต้องเป็นโบสถ์ใหญ่ที่สำคัญแน่ๆ พลางนึกถึงคนไทยที่เมื่อรถแล่นผ่านวัดใหญ่ๆจะต้องพนมมือไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุ้มครอง เรากดออดแล้วลงจากรถทันที เราเดินข้ามถนนเห็นรถเก๋งคันสีขาวจอดใกล้ประตูทางเข้าพร้อมกับมีช่อดอกไม้ประดับบนฝากระโปรงรถ ใช่แล้วภายในโบสถ์ต้องมีพิธีแต่งงานจัดขึ้นเป็นแน่ นักแบกเป้จอมสอดรู้สอดเห็นอย่างเราจะพลาดได้อย่างไรว่าแล้วก็เดินเข้าประตูหน้าโบสถ์ไปทันที

ท้องถนนหน้าโบสถ์มาลาเต้เห็นรถแต่งงานจอดเด่นอยู่คันเดียว
Malate Church

 ประวัติความเป็นมาแปลเอาเองนะครับ
 ข้างโบสถ์มีอาคารสำนักงานทางศาสนาด้วย
 รูปปั้นปิเอต้าเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งสงครามโลกครั้งที่สองอีกแล้ว
 ด้านข้างของโบสถ์มาลาเต้
ประตูทางเข้าข้างโบสถ์

โบสถ์มาลาเต้ (Malate Church) แห่งนี้สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1588 ใช่แล้วสร้างขึ้นในยุดอาณานิคมสเปน แต่แล้วก็ถูกทำลายด้วยภัยธรรมชาติแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี ค.ศ.1863 จนต้องสร้างใหม่ทั้งหลัง รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านได้ที่ภาพถ่ายป้ายครับ แว่วเสียงเปียโนและเสียงร้องเพลงดังมาจากในโบสถ์ เมื่อก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปก็พบคู่บ่าวสาวยืนถ่ายรูปกับแขกเหรื่ออยู่ด้านหน้า พิธีกรกล่าวอะไรบางอย่าง ถึงแม้แขกรับเชิญจะไม่มากนัก พิธีการจึงดูอบอุ่นส่วนแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างเราที่อาจหาญเข้าไปถ่ายรูปภายในก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากรอยยิ้มของแขกผู้ร่วมงาน บาทหลวงยกมือขวาสัมผัสกับสาธุชนแล้วกล่าวให้พร คล้ายกับ Give me five เลย เด็กสาวๆในงานล้วนสวมชุดเดรสน่ารักบนศรีษะสวมมงกุฎดอกส้มตามความเชื่อของคาทอลิก ส่วนแขกผู้ชายทั้งเด็กและผู้ใหญ่จะสวมเสื้อพื้นเมืองที่ทอจากใยสับปะรดทับเสื้อเชิ้ตขาวด้านในอีกครั้งเป็นฟอร์มสุภาพเรียกว่าชุด "บารอง ตากาล็อก"  (Barong Tagalog) ทราบมาภายหลังว่าเสื้อผ้าใยสับปะรด (La Pinya) นี่ราคาแพงหูฉี่ ตัวหนึ่งคิดเป็นเงินไทยประมาณ3พันบาท จึงมีไว้สวมใส่เฉพาะงานบางเทศกาลเท่านั้น
 บาทหลวงแตะมือกับแขกผู้มาร่วมงานทุกคนเพื่อให้พร
 ชายผู้ร่วมงานจะสวมใส่เสื้อที่ทอจากผ้าใยสับปะรด
แม้แต่เด็กน้อยก็ยังสวมใส่เสื้อใยสัปปะรด (La Pinya)

สาวน้อยสวมมงกุฎดอกส้มในพิธีแต่งงาน

บ่าวสาวหน้าตาเจือด้วยรอยยิ้ม นี่คงเป็น วันที่มีความสุขที่สุดของพวกเค้าทั้งสองคน แต่นั่นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิตคู่เท่านั้น การประคับประคองชีวิตคู่ให้อยู่ตลอดรอดฝั่งจนแก่เฒ่านั่นสิสำคัญยิ่งกว่า หากความใคร่ความเสน่หาหมดสิ้นลงตามวัยแล้ว แล้วยังขาดความเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกันแล้ว ชีวิตคู่คงไปไม่รอด อย่างไรผู้เขียนก็ขออวยพรให้ทั้งคู่รักกันไปนานๆตราบจนชั่วฟ้าดินสลาย (มิใช่เป็นอย่างในหนังนะ)
แม้แขกในงานจะไม่เยอะแต่ก็เป็นงานแต่งงานที่อบอุ่น
ยืนถ่ายรูปหมู่กันเป็นที่ระลึก
 พิธีกรและนักร้องต่างประสานงานกันเป็นอย่างดี
 ดูจากเค้าหน้า น่าจะเป็นญาติฝ่ายเจ้าสาว 
เรามิอาจรอให้ถึงพิธีโยนดอกไม้และมงกุฎดอกส้มเพื่อหาเจ้าสาวคนต่อไปได้ เราต้องเดินทางต่อไป เมื่อเดินข้ามประตูโบสถ์มาเท่านั้นแหละเราก็ต้องพบกับความเป็นจริงบนโลกใบนี้อีกครั้ง หลังจากที่ตกอยู่ในภวังค์แห่งบรรยากาศความรักไปชั่วขณะ ด้วยภาพของคนไร้บ้านนั่งอยู่รายรอบผิดกับสังคมหรูหราข้างใน ความเหลื่อมล้ำในสังคมมีให้เห็นทั่วไปในประเทศฟิลิปปินส์
ลานหน้าโบสถ์เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวปินอยบางกลุ่ม

ตอนต่อไปจะพาทุกท่านเดินกินลมชมวิวทอดอารมณ์ติสท์ริมอ่าวมะนิลา (Manila Bay) กันนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น